บางเรื่องราว..การทำงานของคนสาธารณสุข ก็เปรียบเสมือนการปิดทองหลังพระ ทำดี ทุ่มเทและเสียสละมากมายเพื่อผู้ป่วย ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาปลอดภัย แต่บางครั้งเมื่อเกิดความผิดพลาดด้วยความไม่ตั้งใจ กลายเป็นจำเลยของสังคมด้วยความไม่เต็มใจ การเล่าเรืองการทำงานผ่านการเขียนและเผยพร่ จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่จะสร้างสะพานของความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นไม่มากก็น้อยค่ะ
วันนี้จึงขอนำเรื่องเล่าของน้องคนหนึ่ง ที่เขาบอกว่า เขายังไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน เล่าครั้งแรกในเวทีการอบรมเรื่องเล่า..เปลี่ยนโลก narrative medicine ที่สรพ.จัดขึ้น และการอบรมครั้งนี้นี่เอง ที่ทำให้เขาเข้ใจคุณค่าของเรื่องเล่าคุณค่าของการทำงานประจำของเขา และเรื่องนี้ได้สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการกำกับทิศของโครงการ SHA อย่างมากมายค่ะ
น้องอ่อม... รพ.บรบือ จ.มหาสารคาม ค่ะ
ชีวิต..กับความเชื่อที่แขวนไว้บนเส้นด้าย
“ สวัสดี ค่ะ…. มียายบุญมา ไม่รู้สึกตัวที่บ้านนาแล้ง ค่ะ ”
พลเมืองดีโทรมาแจ้งเหตุด้วยสียงระร่ำระรักแล้วรีบตัดวางสายไปโดยที่ไม่แจ้งข้อมูล และรายละเอียดใด ๆ
“ อะไรเนี่ย….! บอกมาแค่นี้แล้วใครจะรู้ว่าอยู่ไหน ”
ผมอุทานออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวนิด ๆ และยืนครุ่นคิดพร้อมใช้นิ้วชี้เคาะลงที่โต๊ะทำงานดัง ป๊อก…ป๊อก …!!! แล้วปรึกษากับเพื่อน ๆ ในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินที่กำลังให้ความสนใจมองมาที่ผมอย่างใจจดใจจ่อ
“ เอ….จะทำยังไงดี แจ้งเหตุมาว่าไม่รู้สึกตัวบอกแค่ชื่อผู้ป่วยและบ้านแต่ไม่ทราบรายละเอียดอื่น ๆ เลย ”
ขณะนั้นผมกำลังลังเลใจว่าถ้าจะออกไปให้บริการผู้ป่วยก็ไม่แน่ใจว่าจะเจอผู้ป่วยหรือไม่ ทีมงานซึ่งประกอบไปด้วย โก้ พนักงานผู้ช่วยฝีมือดี และพี่ชัยพนักงานขับรถผู้เชี่ยวชาญและคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ออกปฏิบัติการทันที รถพยาบาลเริ่มเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วดังเช่นทุกวันเป้าหมายคือบ้านนาแล้ง เริ่มจากการเปิดสัญญาณไฟบนหลังคารถพยาบาล พร้อมกับเสียงรถพยาบาลดังขึ้น
วี๊…หว่อ….วี๊….หว่อ !!! เสียงไซเรนส์ดังกังวานไปทั่วท้องถนน ผู้คนต่างเปิดเส้นทางเพื่อให้รถวิ่งได้สะดวกขึ้น ทำให้ผมอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ที่เห็นภาพความมีน้ำใจของเพื่อร่วมทาง ขณะรถกำลังวิ่งอยู่นั้นผมก็สาละวนกับการเตรียมความพร้อมบนรถ อุปกรณ์กู้ชีพต่างๆ ถูกเตรียมไว้บนรถอย่างเป็นระเบียบ เป็นขั้นตอนและพร้อมใช้งานทันที ผมใช้เวลาไม่นานนักก็เสร็จสิ้นภารกิจในการเตรียมข้าวของเหล่านั้น เวลาที่เหลืออยู่ทำให้ผมครุ่นคิดถึงสภาพผู้ป่วยไปต่าง ๆนา ๆ พร้อมกับวางแผนให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ
ดูเหมือนว่าระยะทางจะไม่อำนวยมากนักผมมองลอดผ่านไปยังช่องกระจกรถพบว่าเส้นทางที่มุ่งหน้าไปเป็นถนนลูกรัง มีหลุมบ่อเป็นช่วงๆ ตามท้องถนนเต็มไปด้วยกรวดหิน กระจายไปทั่ว ทำให้รถต้องวิ่งช้าลงเพราะต้องวิ่งหลบหลุมเหล่านั้น เป้าหมายมองเห็นอยู่ริบหรี่ มองไปตลอดสองข้างทางเป็นทุ่งกว้างที่มีแต่ทรายขาวคลุ้งไปทั่วบริเวณเป็นบรรยากาศความแห้งแล้งภาคอีสานกลางเดือนเมษายน ต้นไม้เกือบทุกต้นยืนแห้งตายใบร่วงโรยเกลื่อนพื้น กิ่งก้านที่ไร้ใบต้านทานกับลมร้อนเสียงดังเป็นจังหวะปานใจจะขาดเมื่อลมร้อนพัดโหมกระหน่ำราวกับมัจจุราชโกรธ
ขณะที่ผมกำลังมองดูสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวนั้นก็เหลือบไปพบหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ข้างหน้า แต่น่าแปลกทำไมไม่เห็นผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว
“ พี่ชัย..!ใช่หมู่บ้านนี้แน่นะ… ทำไมเงียบจังเลย ” ผมถามอย่างจดจ่อ
“ ครับผม ตำบลนี้มีบ้านนาแล้ง ที่เดียวครับ ” พี่ชัยตอบอย่างมั่นใจ
ผมมองหาชาวบ้านเพื่อจะได้สอบถามบ้านผู้ป่วยตามข้อมูลที่มีเพียงเล็กน้อย เมื่อรถเดินทางมาถึงซุ้มประตูหมู่บ้าน ผมพยายามมองหาชื่อป้ายหมู่บ้านแต่ก็ไม่พบ ผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ลักษณะหมู่บ้านค่อนข้างใหญ่ มีถนนคดเคี้ยวและแตกเป็นซอยเล็ก ซอยน้อย หลายซอย ที่ค่อนข้างคับแคบมาก ขณะที่รถแล่นผ่านบ้านเรือนมาได้ประมาณ 3-4 หลังคา ผมสังเกตเห็นชายวัยกลางคนสองคนโบกมือพร้อมกับเดินตรงดิ่งมาที่รถผมอย่างเร่งรีบ
“ โชคดีจังเลยครับพี่ชัยคงเป็นผู้แจ้งเหตุแน่ ๆ เค้าตรงมานี่แล้ว ” ผมอุทานออกมาด้วยความดีใจและภาวนาว่าให้เป็นจริง เมื่อชายสองคนนั้นมาถึงรถ ผมรีบเปิดกระจกทักทาย
“ สวัสดีครับ คุณลุง ผมเป็นหน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลครับ มารับคนไข้ชื่อยายบุญมา ไม่ทราบนามสกุล บอกว่าป่วยไม่รู้สึกตัวครับ ”
ชายฉกรรณ์คนหนึ่งทำท่าทางลุกลี้ลุกลนจ้องมาที่หน้าผมและบอกว่า
“ไม่มีหรอกครับคนชื่อ ยายบุญมา ”
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างลังเลและฉงนกับคำตอบซึ่งผมตั้งความหวังไว้ว่าคำตอบน่าจะบอกเส้นทางผมได้ ผมหันไปสบตากับโก้ สีหน้าของโก้ก็พกความผิดหวังเช่นกัน
“ บ้านนี้ใช่หมู่บ้านนาแล้ง ใช่ไหมครับ ”
ผมถามย้ำเพื่อเช็คข้อมูลความถูกต้อง
“ ใช่ครับ ” ชายทั้งสองตอบพร้อมเพียงกันเสียงแข็งชัดเจน
ผมเกิดความคิดลังเลขึ้นทันทีว่าจะเดินทางค้นหายายบุญมาต่อหรือว่าจะกลับโรงพยาบาลดี
“ จะกลับไปดีไหมนะ หรือว่าเราอาจจะถูกวัยรุ่นโทรมากลั่นแกล้งเหมือนอย่างที่แล้วมา ”
ผมทบทวนและบ่นพึมพรำ อย่างใช้ความคิด
เมื่อรถพยาบาลเดินทางไปถึงทางสี่แยกผมพบกับชายแก่คนหนึ่งอายุราวสี่สิบปี อยู่ในเครื่องแบบสีกากีซึ่งผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นผู้นำชุมชน
“ สวัสดีครับลุง รู้จักบ้านยายบุญมา ไหมครับ ” ผมถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ก็เร่งเร้าเอาคำตอบนิดๆ
“ ทางโน้นแล้วถามเค้าอีกที นะครับ” ชายคนนั้นชี้ไปเส้นทางรอบหมู่บ้าน ไม่มองหน้าและไม่สบตาผม
ผมใจชื้นขึ้นมาและมีความหวังมามากขึ้นที่สามารถเริ่มแกะรอยได้ข้อมูลแล้วเริ่มมีกำลังใจอีกครั้ง รถพยาบาลวิ่งรอบหมู่บ้านตามคำบอกกล่าวของคุณลุงใจดีคนนั้นเสียงไซเรนซ์ ดังไปทั่วหมู่บ้าน
เมื่อรถวิ่งจนสุดทางในหมู่บ้าน ก็ยังไม่พบบ้านยายบุญมา อีกเช่นเคยมีเพียงเด็ก ๆ ที่วิ่งตามมาดู และกลัว ๆ กล้า ๆ ไม่เข้าใกล้รถพยาบาล ผมจึงเปิดกระจกลงและถามชาวบ้านอีกครั้ง ถามคนแล้วคนเล่าก็โบกชี้ทางให้วนไปวนมาจนกระทั่งมาจุดเริ่มต้นที่เดิม ความรู้สึกในขณะนั้นผมรู้สึกท้อแท้และสับสนไปหมดแล้วว่าทำไปต้องโบกทางวนไปมาเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ ….. หรือว่าต้องการเล่นสนุกอะไรกันแน่ …. ผมและคณะจะปลอดภัยหรือเปล่า ผมก็ได้แต่สงสัยแต่ในความรู้สึกลึก ๆ ตอนนั้นคือความห่วงใยคุณยายบุญมาที่รอคอยความช่วยเหลือจากผม เมื่อรถแล่นมาได้ซักระยะหนึ่งผมเหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคนท่าทางสุภาพเรียบร้อยแต่งกายดูดี โบกมือให้แล้วรีบตรงมาที่รถอย่างลุกลี้ลุกลน ท่าทางเหมือนกับจะกลัวใครเห็น เธอรีบสาวเท้ามาแอบอยู่หน้ารถผมอย่างรวดเร็ว
“บ้านยายบุญมาอยู่ตรงโน้น ” เธอพูดและชี้ไปยังกระท่อมหลังหนึ่งใกล้ต้นมะค่าซึ่งรถพยาบาลผ่านมาเมื่อสักครู่นี่เอง บ้านหลังที่เธอชี้ไปเป็นบ้านที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งเดินเข้าออก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ผมได้ถามหายายบุญมามาแล้วแต่ได้รับการปฏิเสธ เธอยังบอกอีกว่า
“ ดิฉันต้องรีบโทรให้มารับยายบุญมาและรีบตัดสายกลัวคนอื่นได้ยิน และสังเกตเห็นรถพยาบาลวนหลายรอบแล้ว ”
เธอพูดทิ้งท้ายด้วยเสียงเบาเครือก่อนรีบเดินหนีไปให้พ้นจากรถ
ผมกล่าวขอบคุณและรีบตรงไปบ้านหลังที่เธอชี้ทันที ผมสงสัยในคำพูดนั้นแต่ผมไม่มีเวลาแล้วที่จะมาซักถามเหตุผลว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น เพราะวัตถุประสงค์คือผมต้องหาบ้านยายบุญมาให้เจอแล้วรีบช่วยเหลือยายให้เร็วที่สุดนี่คือสิ่งที่ผมควรจะทำในเวลานี้ ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วเพราะกลัวเสียเวลารอไปอีก คุณยายบุญมาอาจมีอาการทรุดหนักกว่าเดิมอีกเป็นแน่
เมื่อรถเคลื่อนไปทางเข้าถึงปากทางบ้านคุณยาย รถไม่สามารถวิ่งเข้าถึงหน้าบ้านคุณยายได้ ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณห้าสิบเมตร ผมแบกกระเป๋ากู้ชีพสีแดงภายในบรรจุอุปกรณ์การแพทย์ครบครัน ผม โก้และพี่ชัยวิ่งลงรถอย่างกระฉับกระเฉงมุ่งหน้าเข้าสู่บ้านคุณยาย ผมต้องยกมือมาปาดเหงื่อเป็นระยะและมือหนึ่งก็พยุงกระเป๋าที่สะพายบ่าน้ำหนักกระเป๋าใบนี้สามกิโลกรัมเห็นจะได้ โก้สะพายกระเป๋าปฐมพยาบาล พี่ชัยแบกกระดานรองหลังสีส้มอ่อนไว้สำหรับยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แต่ทุกคนก็ไม่ย่อท้อต่อแดดแรงแผดเผาและอุปกรณ์ที่แบกหามหนักเช่นนี้ ด้วยใจที่หมายมั่นที่จะช่วยเหลือคุณยายให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วยวิกฤติ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่จะเจอข้างหน้าเป็นผู้ป่วยเป็นอะไร แต่ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพ และหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนคนหนึ่งประกอบกับใจที่รักในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และแน่วในสิ่งที่คาดหวังว่าต้องช่วยชีวิตยายให้จนได้ทุกคนจึงลืมความน่าเบื่อหน่ายกับการสาระวนตามหายายเมื่อสักครู่ใหญ่ ๆ ที่ผ่านมา
ถนนทางเข้าบ้านคุณยายไม่สู้ดีนักมีพุ่มไม้รกรุงรังไปทั่วบริเวณ บ้านที่แกอาศัยอยู่เป็นกระท่อมเล็ก ๆ ซึ่งทำด้วยเศษไม้เก่า ๆ เถาวัลย์ขึ้นท่วมหลังคาบ้าน หน้าบ้านมีหม้อสำหรับประกอบอาหารดำปี๋ มีเศษอาหารแห้งกรัง กลิ่นบูดของเศษอาหารเก่า ๆที่แห้งเกรอะติดจาน
มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้าออก ทันทีที่ชาวบ้านเหล่านั้นเจอผมเดินเข้ามาพร้อมกับทีมสามคน ผมก็กล่าวทักทายชาวบ้านเหล่านั้นอย่างสุภาพโดยแสดงสีหน้าเป็นมิตรยิ้มที่มุมปาก ผู้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาหาผมทันทีที่แกเดินออกมาผมตกตะลึงเล็กน้อยจ้องไปที่หน้าชายผู้นั้นเพราะเป็นคนเดียวกันกับคนที่บอกทางผมตั้งแต่แรก แล้วชายผู้นั้นพูดว่า
“ ผมชื่อ กอบ เป็นผู้ใหญ่บ้านครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่พยายามถ่วงเวลาคุณหมอเพื่อให้คุณยายได้หมดลมหายใจ พวกเราอยากให้คุณยายได้ใช้ลมหายใจครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้านที่แกเคยอยู่เพราะถ้าคุณหมอนำยายไปโรงพยาบาล ถ้าคุณยายหมดลมหายใจที่โรงพยาบาล คุณยายจะกลับเข้าบ้านไม่ได้ต้องนำไปไว้ที่วัดเพื่อสวดอภิธรรม ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ ”
ลุงกอบกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าและสั่นไม่ยอมสบตาผมเลย ผมจึงขออนุญาตเข้าไปดูคุณยายและรีบตรงเข้าไปประตูบ้านทันที สิ่งที่พบแทบไม่อยากเชื่อสายตา ร่างของยายแก่ ๆ คนหนึ่ง นอนแน่นิ่ง ไม่รู้สึกตัว พบร่องรอยฟกช้ำเป็นเส้นยาว ลักษณะคงเกิดมาไม่นานนัก ตามแขนขาและลำตัว ข้าง ๆ ร่างที่แน่นึ่งไม่รู้สึกตัวนั้น พบเด็กตัวเล็ก ๆ สวมเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง กลิ่นเหม็นสาบ แก้มสองข้างมอมแมมเกรอะด้วยคราบน้ำมูก ผมสีดำพันกันชี้ฟู นอนทับร่างไม่รู้สึกตัวของยายแก่ ๆ พร้อมหยอกล้อกับร่างที่ไร้การตอบสนองนั้น
ผมเหลือบไปเห็นเท้าคุณยายเป็นแผลเน่าตั้งแต่ปลายเท้าซ้ายลามขึ้นมาถึงขาท่อนล่าง กลิ่นเหม็นมาก และสังเกตพบว่ามีหนอนสีขาวจำนวนมากชอนไชในแผลเน่านั้น ผมตรงเข้าไปประเมินสัญญาณชีพคุณยายทันที พบว่าคุณยายยังหายใจปกติ ความดันโลหิต ปกติ ชีพจรเต้นสม่ำเสมอ ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือด ปรากฎว่า ต่ำมาก ผมจึงแจ้งอาการและแผนการรักษา ให้กับผู้ใหญ่กอบทราบ
ผู้ใหญ่กอบเล่าว่าคุณยายอยู่กับหลานสาวสองคน ซึ่งบุตรสาวแกไปทำงานที่ต่างจังหวัดหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ยายมีฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำ อดมื้อกินมื้อ เป็นแผลเบาหวานมานานแต่ไม่สามารถเดินทางไปล้างแผลได้เพราะสถานีอนามัยก็ไกลไม่มีค่าเดินทางไปรักษา การรักษาโรคเบาหวานจึงไม่ต่อเนื่อง เมื่อเช้านี้ยายบอกว่ามีอาการวิงเวียน เพื่อนบ้านบอกให้แกไปโรงพยาบาลแต่แกบอกว่าเคยมีอาการแบบนี้บ่อย ๆ พักเดี๋ยวก็หาย จนกระทั่งผู้ใหญ่บ้านเดินมาดูแกอีกครั้งช่วงหลังเที่ยงพบว่าคุณยายมีอาการเหงื่ออกตามตัวพูดเพ้อจำใครไม่ได้ และมีอาการกระตุกเป็นระยะๆ ชาวบ้านจึงได้ตกลงกันว่าควรนำหมอธรรม มานั่งสมาธิดูเพราะลักษณะคล้ายผิดผี หลังจากนั่งสมาธิดูก็พบว่าเป็นผีเข้าสิงต้องการเข้าพิธีไล่วิญญาณผีออก หมอธรรมจึงใช้ว่านไฟซึ่งเป็นสมุนไพรปลุกเสกซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าไล่ผีได้ ตีเข้าตามตัวคุณยายอยู่หลายครั้งแต่ผีก็ไม่ออกจากร่างคุณยายซักที หมอธรรมบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรมารับเอายายไปแล้ว และควรปล่อยให้คุณยายไปสู่สุคติเถิด
“ อย่าเอาแกไปเลยคุณหมอสงสารแก ยังไงแกก็ไม่กลับมาหรอก ให้แกหมดลมหายใจอยู่บ้านเถอะครับ ”
ลุงกอบ กล่าวด้วยท่าทีสุภาพน้ำเสียงอ้อนวอนและจริงจัง
ผมพิจารณาที่ร่างอันน่าเวทนาของคุณยายและเด็กน้อยผู้น่าสงสารอีกครั้ง ผมก็นึกถึงแม่ของตนเองขึ้นมาจับจิต ถ้าร่างหญิงผู้นี้คือแม่ผมและเธอต้องตายไปด้วยไม่สมควรตายผมจะรับได้ไหม ทนได้หรือเปล่า ผมครุ่นคิดและตั้งคำถามในใจ สิ่งที่ผมเห็นข้างหน้าตอนนี้ กระตุ้นให้ผมตั้งใจและมุ่งมั่นว่าว่ายายจะตายไม่ได้เพราะหลานยายอยู่ไม่ได้แน่ ๆ ถ้าไม่มียาย แล้วเด็กคนนี้จะทำอย่างไรต่อไป อนาคตเด็กคนนี้ล่ะจะเป็นยังไง คุณยายมีสิทธิที่จะไม่ตาย คุณยายมีสิทธิที่จะกลับมาดูแลหลานของแกได้ แกมีโอกาสและเราควรให้สิทธิแกมิใช่หรือ
“ ขอโอกาสให้ผมได้ลองช่วยคุณยายดูเถิดครับ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ผมจะไม่นำไปโรงพยาบาล ”
ผมร้องขอด้วยท่าทีสุภาพนุ่มนวล นัยน์ตาวิงวอน พร้อมยกมือไหว้ ลุงกอบ
ชาวบ้านเห็นผมร้องขอ จึงได้อนุญาตให้ช่วยทำการรักษาคุณยายผมเริ่มให้ กลูโคสฉีดเข้าเส้นเลือด และให้น้ำเกลือหยดทางเส้นเลือด เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที คุณยายก็ยังไม่ฟื้นอีก สาเหตุคงมาจากระดับน้ำตาลในเลือดของยายต่ำมานาน ผมจึงโทรศัพท์ขอแผนการรักษาจากแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์เวรสั่งให้กลูโคสฉีดเข้าเส้นเลือดอีกครั้ง ประมาณสิบนาที คุณยายเริ่มรู้สึกตัว หลานคุณยายยิ้มอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ ยายตื่นแล้วเหรอคะ ทำไมนอนนานจัง”
หลานยายถามด้วยสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กที่เปื้อนดิน ตีเบา ๆที่หน้าท้องยาย
แต่คุณยายไม่ตอบเพราะยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจากผลของน้ำตาลในกระแสเลือดยังไม่สมดุล ผมจึงขออนุญาตชาวบ้านนำคุณยายส่งโรงพยาบาล คุณยายได้รับการส่งตัวพบศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อรักษาแผล
ผมได้มีโอกาสผ่านทางบ้านคุณยาย วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศเย็นสบายและได้แวะเยี่ยมคุณยายบุญมา เป็นครั้งแรกที่ได้พบคุณยายยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มของหญิงวัยชราที่แฝงด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัย แต่ผมคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามเหลือเกิน ผมมองคุณยาย สบสายตา และรอยยิ้มที่มอบให้สัมผัสได้ถึงความหวังและกำลังใจที่คุณยายพร้อมจะเผชิญและมีชีวิตอยู่ต่อไป คุณยายนั่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับบุตรสาว และหลานสาว สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือบ้านปูนชั้นเดียวขนาดพออยู่และดูท่าทางบ้านมั่นคงและน่าอยู่มาก คุณยายยิ้มทันทีที่พบผมเดินมา ยายยิ้มและร้องทักอย่างมีความสุข เมื่อยายพูดยายยิ้มไปด้วย แววตาใสส่องประกาย ผมถามคุณยายถึงความเป็นอยู่และได้ทราบมาว่าได้รับการช่วยเหลือจากท่านนายอำเภอและองค์การบริหารส่วนตำบลที่ระดมชาวบ้านมาช่วยกันสร้างบ้านและนอกจากนี้ยังได้รับเบี้ยผู้พิการและรถเข็นโยกผู้พิการอีกด้วย
ผมรู้สึกยินดีกับคุณยายและมีความสุขมาก รู้สึกขอบคุณท่านนายอำเภอและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลที่ให้ความสนใจและให้ความสำคัญในสิ่งที่ผมได้นำเสนอในที่ประชุมในเวทีประชุมหัวหน้าส่วนราชการประจำเดือนถึงความเป็นอยู่ของคุณยาย หลังจากที่ผมได้กลับจากการให้ความช่วยเหลือคุณยาย ในวันนั้น
เรื่องเล่าโดย
นายปรีชา ชาดง ( น้องอ่อม )
โรงพยาบาลบรบือ ต.หนองสิม อ.บรบือ จ. มหาสารคาม 44130
ตัวจริง เสียงจริง ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/erbbh/402893 น้องอ่อม มาเอง อิอิ
เอาความรักมาฝากจ้า
สวัสดีค่ะน้องสาวที่รัก...อ่านแล้วรู้สึกดีมากมาก..หากทุกคนเป็นเช่นนี้..โลกคงสดสวยงดงามมากมากนะคะ..ยินดีและดีใจที่ได้อ่านเรื่องเล่าดีดีค่ะ...คิดถึงน้องสาวจัง
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านเรื่องราว
ที่ทำให้รู้สึกดีนะคะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ
เยี่ยมมากค่ะ
เป็นเรื่องของความเชื่อของชุมชน ที่บางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการรักษาคนไข้ ทึ่งเรื่องเล่าของน้องอ่อมมาก...
ก๊อกๆๆ ตามเสียง วี้ หว่อ มาคะ เล่าได้อารมณ์น่ะ น้องน่ะ
เอ่อ!ว่าแต่..ถามนี้ดื่ม คาพูชิโน่ ร้อนๆยังอ่ะ
อิอิ...คิดถึงเหมือนเดิมน่ะน้องสาว..พี่เพิ่งไปแอ่วเหนือมา...เมื่อยซะ...
เป็นเรื่องราวที่ดีมาก จริงๆ ครับ
เป็นเรื่องราวที่ดีมากๆอยากให้เกิดการขยายผลออกไปสู่สาธารณะให้มากๆ ค่ะ
เจ๋งมากๆครับ
มาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
ขนาดเรื่องแรกยังประทับใจขนาดนี้ ขอให้มาเล่าเรื่องดีๆอีกนะคะ
มาเชียร์น้องอ่อมค่ะ
ขอบคุณครับพี่ พี่ทุกคนครับ ที่แวะมาอ่านให้กำลังใจครับ ทำให้ผมมีกำลังใจในการเขียนเรื่องเล่าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในชีวิตที่เขียนมาครับ และต้องขอขอบพระคุณแม่ต้อยและอาจารย์พี่เลี้ยงทุกคนที่ช่วยนำทางให้ครับผม
ตามมาส่งกำลังใจ ให้ทุกคนที่ทำงานท่ามกลางความสับสน
และต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทำสิ่งใหนดี
ขอให้ บุญรักษาผู้มีเจตนาดี นะคะ
น้องอ่อม [IP: 1.46.204.113
น้องอ่อม เปิดบันทึกเสียทีอ่ะ รออ่านอยู่นา...มีข่าวดียิ่งกว่ามาบอกด้วยละ อิอิ
น้องอ่อมเล่าได้ดีมากๆเลยจ๊ะ...อ่านแล้วจินตนาการตามถึงบ้านคุณยายเลยนะเนี่ย เป็นกำลังใจให้สำหรับคนทำงานดีๆ มีน้ำใจแบบน้องอ่อมนะคะ
ขอบคุณครับพี่กุ้ง ที่ช่วยส่งกำลังใจให้ครับ
ถึงอาจารย์พอลล่า ครับ อาจารย์สบายดีนะครับ ต้องขอขอบคุณอาจารย์นะครับที่ช่วยลงเรื่องเล่าให้มีโอกาสได้เผยแพร่ต่อสารธารณะชน ...แล้วผมจะสานต่อผลงานเรื่องเล่าต่อไปครับ
น้องอ่อม พี่พอลล่าสบายดีค่ะ
ขอบคุณพี่กุ้งที่มาให้กำลังใจนะคะ
เก่งจังเลยนะเพื่อน...เป็นกำลังใจให้นะจะเปลี่ยนอาชีพหรือเปล่าเนี่ย
สวัสดีค่ะคุณพอลล่า
เป็นเรื่องเล่าที่มีคุณค่ามาก น่าประทับใจ
ถ้าวันนั้นคุณยายไม่ได้รับการช่วยเหลือคงจะไม่มีวันนี้ที่สดใส ไม่เห็นรอยยิ้มที่เป็นสุขของยาย ชื่นชมการช่วยเหลือของทีม เป็นกำลังใจในการทำงานค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ
ขอบคุณครับพี่ถาวร
กัญจนาสบายดีนะครับ ขอบคุณมากเลยที่มาให้กำลังใจ
ขอบคุณพี่สาว มณีวรรณ ตั้งขจรศักดิ์ ที่ให้กำลังใจและขอบคุณทุก ๆ คนครับ
อาจารย์พอลล่า ครับ เปิดบันทึกแล้วนะครับ แต่แอบ copy ของอาจารย์พอลล่ามา ครับ แล้วเรื่องต่อๆ ไปผมจะเอามาลงเพิ่มครับ
พี่น้องคร๊าบบบบ ตัวจริงมาแย้ว อิอิ
ขอบคุณมากครับ porn ไม่เจอนานมากเลยคิดถึงเพื่อนนะครับ
เป็นกำลังใจให้เพื่อนนะ..อ่านแล้วรู้สึกดีจัง..
ที่ไหนต่างก็มีความเชื่อที่แตกต่างกัน
อยู่ที่ผู้ปฏิบัติจะเข้าถึงโดยวิธีไหน..
การสร้างความเชื่อมั่น..เป็นอีกหนทางที่ทำให้เราเข้าถึงชุมชน
ประทับใจเรื่องเล่านะ..สู้ๆ
ขอบคุณมากเลยนะคะสำหรับเรื่องเล่าที่น่าประทับใจ อ่านแล้วซึ้งจริงจริงกับความจริงใจที่สามารถละลายความคิดและความเชื่อที่เกือบทำลายชีวิตคนทั้งคน อ่านแล้วทำให้เห็นคุณค่าของความเป็นคนจริง ๆ คะ
ขอเป็นกำลังใจให้คนทำงานที่ต้องใช้ความอดทนสูงมาก ผมก็ทำงานกับชุมชน เข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ ศรัทธาในความมีจิตใจที่เมตตา และอ่อนโยนของคุณหมอครับ
ขอบคุณฟ้าที่สร้างคนดีดีมาสร้างสรรค์โลกใบนี้