นมแม่แค่เข้าใจ


“น้ำนมที่อาจจะไม่ใช่หยดแรก แต่จะเป็นหยดสุดท้ายในวันที่ลูกจะเลิกกินนม”

                                                นมแม่แค่เข้าใจ

ผู้เขียนเป็นเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข ทำงานที่ รพ.บางกระทุ่ม  เรื่องที่ผู้เขียนกำลังจะเล่านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผู้เขียนจึงขอเท้าความตั้งแต่ตั้งครรภ์ เมื่อผู้เขียนรู้ว่าตั้งครรภ์ รู้เมื่ออายุครรภ์ได้ 2 เดือน ก็ไปฝากครรภ์ ทำตามคำแนะนำของแพทย์ เรื่องที่แพทย์เน้นเป็นพิเศษให้ผู้เขียนคือ การควบคุมน้ำหนัก เพราะผู้เขียนน้ำหนักเยอะตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งผู้เขียนก็ทำไม่สำเร็จ เพราะผู้เขียนทานเก่ง น้ำหนักขึ้นมาเกือบ 20 กิโล กลัวว่าจะไม่เห็นภาพ น้ำหนักผู้เขียนขึ้นจาก 65 กิโล เป็น 84 กิโลเลย ระหว่างตั้งครรภ์ทาง รพ.บางกระทุ่มที่ผู้เขียนทำงานอยู่ก็มีการจัดอบรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสเข้ารวมอบรมตอนนั้นผู้เขียนตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนกว่าแล้วหลังจากอบรมก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ในความตั้งใจก็รู้สึกกังวลว่าถึงวันนั้นเราจะทำได้ไหม

วันนี้เป็นเช้าวันใหม่ของผู้เขียน เช้าที่ทรมาน เช้าที่เจ็บปวด แต่เป็นเช้าที่มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ว่าสุขมากมายแค่ไหน เป็นเช้าที่ผู้เขียน ได้เห็นหน้าคนคนหนึ่งที่รอมานานถึง 8 เดือน 12 วัน เป็นวันเวลาที่ผู้เขียนมีทั้งสุขและทุกข์ แต่สุขที่ผ่านมานั้นเทียบไม่ได้กับความสุขในเช้านี้วันนี้เลย

เวลา 07 :25 ผู้เขียนได้คลอดลูกชายน้ำหนัก 2,800 กรัม  ขอเล่าความรู้สึกก่อนคลอดสักนิด เพราะผู้เขียนรู้สึกภูมิใจมากกับความสำเร็จในครั้งนี้ ผู้เขียนเริ่มมีอาการที่บ่งบอกว่า “แม่จ๋าหนูอยากออกมาดูโลกแล้วน๊า” คือมีมูกเลือดนิดหน่อยแต่ไม่ได้มีอาการปวดท้องเลยตอนนั้นผู้เขียนก็ยังรู้สึกเฉยๆ แต่ในขณะที่พี่ๆ ที่ร่วมงานก็รีบไล่ให้ผู้เขียนไป รพ. (ไล่จาก รพ.ไป รพ.......?) ก็มีน้องที่ รพ. พาไป        พอไปถึง รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกเวลาประมาณ 10:00 โมงเช้า ผู้เขียนก็ทำตามขั้นตอนของ รพ. พอเรียบร้อยแพทย์ก็สั่ง Admit ขึ้นไปนอนที่ห้อง ชั้นห้องคลอด ก็มีพี่พยาบาลเข้ามา บอกให้ผู้เขียนเปลี่ยนชุด ผู้เขียนก็เปลี่ยนเรียบร้อยก็ขึ้นมานอนบนเตียง พยาบาลก็ทำการฟังเสียงหัวใจเด็ก (Fetal Hart Sound ) พอฟังเสร็จเรียบร้อยก็ทำการ Shave+PV เรียบร้อย พยาบาลอีกคนเดินเข้ามาบอกว่า โทรหาแพทย์เจ้าของไข้ แพทย์บอกว่าปากมดลูกเปิดแค่ 1 เซนติเมตร ไม่มีอาการปวดท้อง ครรภ์แรกให้กลับบ้านก่อนไปสังเกตอาการที่บ้าน (ผู้เขียนทำหน้างง...(+0+)....หือ ให้กลับบ้านรึ!!! คิดในใจว่า แย่แล้วนาทีนี้ กรรมจริงๆ โกนไปแล้วทำยังงัย ถ้าวันนี้ พรุ่งนี้ไม่คลอดฉันต้องโกนใหม่ไหมเนี๊ย )  แต่ผู้เขียนก็กลับบ้านก็ทำกิจวัตรประจำวันปกติ แล้วก็เป็นช่วงบังเอิญที่สามีของผู้เขียนต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดเลยไม่ได้อยู่ดูแล ประมาณ 23:00 น. ผู้เขียนก็รู้สึกปวดท้อง ปวดห่างๆ พอทนได้ ก็เลยยังนอนได้ แต่พอประมาณตี 1 รู้สึกว่าปวดมากขึ้น ผู้เขียนก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะไป รพ. ดีไหม ( เพราะกลัวได้กลับมาอีก)แต่ก็ตัดสินใจไป ถึง รพ.ประมาณตี 2 ก็ขึ้นห้องนอนพักผ่อน ก็ยังมีอาการปวดห่างๆ เปิด 1 เซน เหมือนเดิม แพทย์เลยสั่งให้ยาเร่งคลอด ตอนตี 3 พอตี 5 ปากมดลูกเปิดเร็วมาก 8 เซน ย้ายไปห้องคลอด นาทีนั้นไม่รู้สึกอะไรแล้วนอกจาก “ปวด” ปวดแบบบอกไม่ถูกเลย แล้วนาทีที่มีความสุขก็มาถึง ผู้เขียนเข้าใจเลยว่า คำว่า “ตายแล้วเกิดใหม่” เป็นอย่างไร แต่ผู้เขียนคลอดง่าย นาทีแรกที่คลอดลูกออกมาแล้วคนแรกที่ผู้เขียนนึกถึง คือ แม่ของผู้เขียน นึกในใจว่า “แม่จ๋าหนูรู้แล้วว่าแม่เจ็บแค่ไหน” น้ำตาที่ไหลออกมานั้นไม่ใช่เพราะเจ็บปวดแต่เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันที่ได้เห็นหน้าลูก (แต่แอบผิดหวังนิดๆ เพราะผู้เขียนรอลุ้นให้เป็นลูกสาว.....) พอเรียบร้อยก็ย้ายไปนอนที่ห้องพัก

ความเครียดก็เกิดขึ้นกังวลว่าทำไมน้ำนมไม่ออก เครียดมาก เลยนึกถึงตอนที่อบรมเรื่องนมแม่ ว่าต้องให้คุณพ่อเด็กช่วย แต่เค้ายังไม่กลับมาจากต่างจังหวัดเลย วันนี้ลูกชายเลยต้องกินนมผสม แต่ผู้เขียนก็ไม่ท้อก็ตั้งใจทำตามที่ตนเองได้เรียนได้อบรมมา พยายามให้ลูกดูด เค้าก็ร้องเพราะน้ำนมไม่ไหล เค้าก็เริ่มไม่ยอมดูด เราก็ไม่รู้จะทำยังไง พยายามไปเรื่อยๆ 3 ชั่วโมงครั้งพยายามให้ลูกดูดบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีวีแววว่าน้ำนมจะออก ไม่คัดตึง เลย ก็ปลอบใจตัวเองว่า เดี๋ยว พรุ่งนี้ก็ออก เพราะตั้งใจแล้ว เราต้องทำให้ได้

เริ่มเช้าอีกวันเป็นวันที่สองที่นอน รพ. ล้างหน้าเสร็จก็รีบโทรให้พี่พยาบาลพาลูกมาหาที่ห้อง  พอเห็นหน้าก็รู้สึกว่า นี่เหรอคนที่เรารอมานาน เค้าเหมือนเราหรือเหมือนพ่อเค้าน๊า มองไปมองมาน้ำตาก็ไหลออกมารู้สึกมีความสุขจังเลย วันนี้น้ำนมก็ยังไม่ไหล ก็ให้กินนมผสมไม่ได้ป้อนด้วยถ้วยเลย ก็ยังพยายามให้เค้าดูดเรื่อยๆ ผู้เขียนเริ่มท้อเหมือนกันตอนนี้รู้สึกว่าน้ำนมคงไม่ออกแล้วมั้ง แล้วก็มีพี่ที่ไปเยี่ยม เค้าก็บอกว่า “ถ้าให้ลูกกินนมผสมใสขวดแบบนี้แล้วนะ เค้าจะไม่กินนมเราแล้ว เหมือนลูกพี่นะ ยังไม่กินเลย” เริ่มถอดใจ เครียด ก็ปรึกษาพี่พยาบาล พี่ก็แนะนำว่าต้องไม่เครียด ไม่กังวลนะ เดี๋ยวน้ำนมก็มา ใจเย็นๆ ก็เลยทำตามที่พยาบาลแนะนำ วันนี้ก็ยังไม่ออกอยู่ดี แล้วก็ครบกำหนดกลับบ้าน

เมื่อผู้เขียนและลูกชายกำลังจะออกจาก รพ. กลับบ้าน พอมาถึงทีบ้านเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย น้ำนมก็ยังไม่ไหลเหมือนเดิม เป็นวันที่ 4 แล้ว วันนี้ผู้เขียนตั้งชื่อลูกชายเรียบร้อยแล้ว “ชื่อน้องอาทิ” ผู้เขียนขอเรียกชื่อแทนคำว่าลูกชาย วันนี้อยู่พร้อมกันทั้งบ้านเลย คุณยาย คุณตา คุณพ่อ และก็แม่ซึ่งก็คือผู้เขียนเอง น้องอาทิแข็งแรงแต่ค่อนข้างตัวเล็กมากคุณยายเค้าก็จะบอกว่าอุ้มไม่เต็มมือเลย วันนี้นิยามของคำว่า “แม่” ได้เริ่มขึ้นแบบเต็มตัว นั้นคือผู้เขียนต้อง อาบน้ำลูก เตรียมซื้อของใช้ของลูก เพราะว่าผู้เขียนไม่ได้เตรียมไว้เลย ในขณะที่น้องอาทิก็ยังต้องทานนมผสมที่ทาง รพ. ให้มา ( เรื่องมันเศร้าจริงๆ) ผู้เขียนเลยคิดว่าจะต้องซื้อนมยี่ห้ออะไรดี เพราะที่เคยอบรมมาเค้าก็บอกแต่ว่านมผสมไม่ดีเลยเลยปรึกษาสามีว่าเราจะทำไงกันดี  นาทีนี้ผู้เขียนนึกขึ้นได้ว่าวิทยากรที่อบรมเรื่องนมแม่เค้าบอกว่าต้องให้คุณพ่อเด็กช่วย ช่วยในที่นี้คือ ให้ช่วยดูดแทนลูกก่อน เพราะบางทีตามท่อน้ำนมอาจจะอุดตันอยู่ ซึ่งแรงดูดของเด็กนั้นแรงไม่พอที่จะทำให้สิ่งอุดตันหลุดออกมาได้ ร่วมกับ ทานน้ำใบขนุนต้มตามที่พี่ที่ รพ.บางกระทุ่ม แนะนำ พอประมาณ 15:00 น. เริ่มรู้สึกว่ามีน้ำนมไหลออกมา ดีใจมาก “น้ำนมที่อาจจะไม่ใช่หยดแรก แต่จะเป็นหยดสุดท้ายในวันที่ลูกจะเลิกกินนม” นั้นเป็นความตั้งใจของผู้เขียน ก็ให้ลูกดูดแต่ปัญหาตอนนี้คือ น้องอาทิไม่ยอมดูด ร้องให้อย่างเดียวเลย น้ำนมก็ไหลออกมาคราวนี้เยอะมากๆ แต่เค้าไม่ดูดก็ต้องให้เค้ากินนมผสม แต่ผู้เขียนก็ยังพยายามให้เข้าดูดนมจากเต้าให้ได้ เวลาประมาณ 24:00น. น้องอาทิเค้าตื่น คือเค้าก็จะตื่นทุกๆ 3 ชั่วโมง ผู้เขียนอุ้มเค้าขึ้นมาพยายามให้เค้าดูดนม (น้ำนมก็ไหลเยอะมาก) แต่น้องก็ไม่ยอมดูดร้องให้อย่างเดียว ผู้เขียนเลยนั่งอุ้มลูกเค้าแล้วก็ร้องให้ เป็นความรู้สึกที่มีแต่คำถาม “ทำไม? ทำไมสิ่งที่เราตั้งใจเราทำไมทำไม่ได้ ยอมแล้ว ยอมแพ้ สงสารลูกที่เค้าต้องร้องให้ เพราะเราไม่ยอมป้อนนมผสมเค้า เค้าก็คงหิว” แต่คุณพ่อน้องอาทิก็พูดขึ้นมาว่า “วันนี้ลูกไม่กินไม่เป็นไรนะตัวเอง ให้ลูกกินนมชงไปก่อน เดี๋ยว พรุ่ง นี้ลูกก็กิน ถ้า ไม่กินเต้า เราก็บีบใส่ขวดก็ได้นิ ”  พอวันรุ่งขึ้น ก็พากันไปห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนต้องนั่งรถเข็นไปเพราะยังเดินไม่ค่อยไหว (..คุณสามีก็ทำหน้าที่เข็นไป...)ไปที่ช่องของใช้เด็กอ่อน ก็เจอเครื่องบีบนม มีให้เลือกมากกว่า 1 แบบอีก มีทั้งแบบจุกแดง แบบปั๊มมือ แบบปั๊มอัตโนมัติ ราคาก็แตกต่างกันไป ผู้เขียนเลยเลือกแบบปั๊มมือยี่ห้อหนึ่ง ราคาก็กลางๆ 1,400 บาท (เผื่อเป็นทางเลือกของคุณแม่ท่านอื่น) แล้วผู้เขียนก็รู้สึกว่าน้ำนมที่ไหลออกมามันเหนอะหนะ เลอะเถอะ ก็ซื้อแผ่นซับน้ำนมมาด้วยเลยกล่องล่ะ 129 บาทมี 26 ชิ้น  และที่ลืมไม่ได้คือ เสื้อชั้นในแบบให้นมลูก จากนั้นก็ซื้อของใช้เพิ่มเติม รายละเอียดมากมาย ผู้เขียนจะไม่ขอเล่าถึง จากนั้นก็กลับบ้านมาพยายามต่อ คราวนี้ผู้เขียนไม่ยอมให้น้องอาทิกินนมผสม แล้วก็ให้มาดูดเต้า แล้วเค้าก็ดูดเพราะเค้าคงหิว แต่เค้าก็ร้อง ร้องจนไม่มีเสียง ผู้เขียนก็สงสารแต่ต้องทำแบบนี้เพราะถ้าเราใจอ่อนเราก็จะต้องยอมแพ้นมผสมตลอดไป หลังจากนั้นเค้าก็ดูด แต่เวลาที่เค้าดูดจากเต้าก็จะดูดไม่หมดเต้า   ที่นี้ล่ะเครื่องบีบที่ซื้อมาได้ใช้งานแล้วววว...(อยากจะลองมากๆๆๆ) สามีก็ช่วยประกอบให้เพราะครั้งแรกประกอบไม่เป็น ก็ลองบีบ (มันดูตลกมากๆ ขำขำ เหมือนมีอะไรมาครอบที่หัวนมแล้วก็ดึงแบบแรงๆ ยืบ ยืบ...) แรกๆก็เจ็บ บีบได้ประมาณ 4 oz (2 ข้างรวมกัน) ผู้เขียนจะขอแนะนำวิธีการบีบสักนิด คือ บีบหลังจากที่ลูกกินอิ่มทันทีเพราะการที่เราบีบนมให้หมดเต้าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างน้ำนมที่มากขึ้นเมื่อบีบเสร็จให้รีบบรรจุใส่ในภาชนะหรือถุงเก็บน้ำนมแม่ที่เราเตรียมไว้โดยเขียนรายละเอียดที่ถุงให้เรียบร้อย( การบรรจุน้ำนมแม่ลงในถุงควรคำนวณด้วยว่าช่วงน้ำหนักลูกเท่าไรควรใส่นม 1 ถุงต่อ 1 มื้อ) คำนวณตามสูตร คือ (น้ำหนักลูก x     ) หารด้วยจำนวนมื้อที่ลูกกิน  เสร็จแล้วถ้าจะเก็บไว้นาน 3 เดือนให้แช่ในช่องแช่แข็ง(ตู้เย็นต้องเป็นแบบ 2 ประตู ปรับไว้ที่ 4 องศา) ถ้าจะบีบไว้สำหรับกินเลยให้เก็บไว้ในช่องธรรมดาได้ อยู่ได้ 2 วัน และเมื่อนำออกมาแช่น้ำอุ่นให้ลูกกิน (น้ำอุ่นนะจ๊ะไม่ใช่น้ำร้อนในกาที่ต้มพึ่งเสร็จ)จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ถ้าอากาศร้อนจัด ก็ให้ลูกกินอิ่มแล้วทิ้งได้เลยไม่กินซ้ำ หลังจากนั้นผู้เขียนก็ให้ลูกกินนมแม่มาตลอด โดยดูดจากเต้าบ้าง ใส่ขวดให้กินบ้าง ผู้เขียนหยุดงานได้ 3 เดือน ก็บีบตลอดน้ำนมก็มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนท้อคือต้องตื่นขึ้นมาบีบทุกๆ 4 ชั่วโมง ทุกคืนจนน้องอาทิได้ 2 เดือน น้ำหนัก 5 กิโลกรัม ผู้เขียนให้ทานนมแม่อย่างเดียวไม่ให้ทานอาหารเสริมอย่างอื่นเลยแม้แต่น้ำเปล่า พอน้องเค้าเริ่มเข้าเดือนที่ 3 เค้าก็เริ่มเน้นหัวนม ผู้เขียนก็เริ่มท้อ เพราะหัวนมเริ่มเป็นแผลและจะมีอาการแสบเวลาที่ให้ลูกกิน  หลังจากลูกได้ 2 เดือนผู้เขียนเลยให้ทานขวด สลับกับดูดเต้าบ้างแต่ส่วนใหญ่จะให้กินจากขวดนม  เพราะผู้เขียนนึกถึงเวลาจะไปทำงาน ก็บีบมาเรื่อยๆ เก็บบ้าง กินบ้าง ผู้เขียนจะมีตู้ไอศกรีมแบบฝาปิดสีขาวอยู่ 1 ตู้ บีบไปบีบมาตกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมออกมาเยอะได้ขนาดนี้ ( เต็มตู้เลย) ผู้เขียนทานน้ำใบขนุนต้มเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นเมื่อครบกำหนอ 3 เดือนที่ผู้เขียนต้องกลับไปทำงานตามปกติ วันแรกของการทำงานผู้เขียนก็มีสัมภาระเยอะมากๆ กระติกเก็บนม เครื่องบีบนม ของที่ต้องใช้ในการทำงาน ตอน 3 เดือนนี้ก็บีบห่างขึ้น จากทุกๆ 4 ชั่วโมงเป็น ทุก ๆ 5 ชั่วโมง ผู้เขียนจะต้องบีบเป็นประจำ คือ 04:00 น. 11:00น. 15:00 น.  20:00 น. และ 24:00 น. แบบนี้ทุกวัน ผู้เขียนจะเล่าถึงช่วงเวลาที่มาทำงาน( เพื่อคุณแม่ทำงานมาอ่าน) วันทำงานผู้เขียนจะบีบ 2 เวลา ที่ได้กล่าวข้างต้น  การบีบก็จะบีบที่ละข้าง 1 ข้างของผู้เขียนจะได้  7-8 oz เพราะฉะนั้นแต่ละครั้งจะได้ 14-16 oz แบ่งเป็นถุงละ 5oz เก็บแช่ในตู้เย็นที่ห้องทำงาน เมื่อถึงเวลากลับบ้านผู้เขียนก็จะนำไปใส่กระติกซื้อน้ำแข็งมาใส่หรือใช้น้ำแข็งแห้งเก็บกลับบ้านทุกวันๆละ 4-6 ถุง  นมส่วนใหญ่ที่ปั๊มช่วงมาทำงานนี้ผู้เขียนจะเก็บแช่แข็งไว้เพื่อให้กินในเดือนถัดไป ตอนนี้น้องอาทิได้ 4 เดือนเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 น้ำหนัก 6.8 กิโลกรัม ไม่เคยเจ็บป่วย ท้องอืด ท้องเสีย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ร้องให้งอแง เป็นเด็กร่าเริง อารมณ์ดี  เมื่อพูดถึงลูกไปแล้วก็มาพูดถึงแม่ซึ่งก็คือตัวผู้เขียนเอง การที่ลูกทานนมแม่ดีมากๆเลย น้ำหนักผู้เขียนลดจา 84 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือเพียง 70 กิโลกรัม และหลังจากคลอดก็สามารถเลี้ยงลูกเองได้ทันทีเลย อาทิตย์ เดียวก็สามารถเดินได้คล่องเหมือนเดิมแล้ว  จนถึงวันนี้ผู้เขียนรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เราพยายามจนประสบความสำเร็จ ในขณะที่ผู้เขียนเองก็อายุน้อย สามีก็เช่นกันซึ่งด้วยอายุ และความอดทน  ที่แสนจะน้อยด้วยกันทั้งคู่ เรายังทำได้แล้วว่าที่คุณแม่คนใหม่

                                                                ผู้เขียน

                                                           อพิชยธิดา  ทิศสุข

                                                        นักวิชาการสาธารณสุข

หมายเลขบันทึก: 404752เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2010 22:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 16:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อยากให้คุณแม่วัยทำงานได้อ่านนะค่ะ เป็นเรื่องง่ายๆถึงเราทำงานก็สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นะค่ะ สู้ๆๆ

สวัสดีค่ะ ร่วมชื่น ร่วมชม ร่วมเชียร์ คุณแม่ให้นมลูก ผูกพัน อบอุ่น ขอบคุณค่ะ

ขออนุญาตฝากบันทึก มหัศจรรย์ นมแม่ ร่วมด้วยค่ะ http://gotoknow.org/blog/lanandaman/367082

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท