ในการทำ KM เราใช้ "การทำนำ การคิดตาม" พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าแนะให้ทำโดยไม่คิดนะครับ ไม่ว่าทำอะไร เราต้องคิดก่อน แต่ต้องไม่เอาแต่คิด ไม่ทำสักที ต้อง "คิดเพื่อทำ" ไม่ใช่ "คิดเพื่อคิด" ต้องอย่าติดวิธีแก้ปัญหาโดยการคิด ต้องฝึกแก้ปัญหาโดยการทำ
การ "คิดเพื่อทำ" นี้ ต้องคิดเพื่อทำเอง จึงจะเกิดผล ไม่เกิดความขัดใจ คนจำนวนมากติดการคิดให้คนอื่นทำ พอมีปัญหา หรือมีโอกาสที่จะสร้างสรรค์ ก็จะคิดวิธีการ แล้วชี้มือไปที่คนอื่น ว่าเขาควรเป็นผู้ทำ คนเหล่านี้มีความสามารถสูงมากในการคิดให้คนอื่นทำ พฤติกรรมเช่นนี้ในบางกรณีมีประโยชน์มาก แต่คนที่มีนิสัยเช่นนี้มักจะเป็นคนเครียดและท้อถอย เพราะจะอึดอัดขัดใจว่าตนมีความคิดดีๆ แต่คนอื่นช่างไม่ฉลาดเสียเลย ไม่รู้จักเอาไปทำ คนเช่นนี้จะขาดความสุข
จะมีความสุขได้ ต้องหาความสุขจากการลงมือทำ ทำด้วยตนเอง หรือชักชวนกันทำ เมื่อเกิดผลสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ก็เฉลิมฉลอง เพื่อสร้างกำลังใจให้ทำต่อ ทำได้ดีกว่าเดิม ทำด้วยความสุข
การลงมือทำเป็นนิสัย เป็นนิสัยที่สร้างได้ ใครมีนิสัยเช่นนี้จะมีคุณมาก มีคุณทั้งต่อตนเอง ที่จะเป็นคนมีผลงานมาก เป็นคนที่คนอื่นยกย่องว่าเป็นคนที่ไม่ดูดาย ไม่ดีแต่พูด ที่สำคัญทำให้เป็นคนมีบุคลิกด้านบวก บุคลิกเปี่ยมสุข คือมีปิติสุขเอิบอาบตัวและใจอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทำแล้ว ก็เอามา ลปรร. กับทีมงาน และเอาไปไตร่ตรองคนเดียว เอาไปฝันถึง (หมายถึงใช้วิธีคิดแบบไม่คิด) ชีวิตก็จะเปี่ยมสุข และเปี่ยมสำเร็จ
เราไม่แยกการคิดกับการทำ แต่ต้องทำนำ - คิดตาม
วิจารณ์ พานิช
๔ กค. ๔๙
ในห้องรอขึ้นเครื่องบินไปสงขลา ไป "สอน" นศ. ปริญญาเอก ม. ทักษิณ
ทำให้ผมคิดได้ว่า..
" ความรู้มาก่อนการกระทำ
คิดเพื่อทำ อย่าคิดเพื่อคิด
ต้องแก้ปัญหาโดยการทำ อย่าแก้ปัญหาโดยการคิด
ให้การกระทำนำ - แล้วคิดตาม "
ขอบคุณอาจารย์มากครับ
จากประสบการณ์การทำ KM พบว่า ความเข้าใจจะเกิดจากการทำ ปัญหาต่างๆถ้าเราเข้าไปทำและเรียนรู้กับคนปฏิบัติจะช่วยให้เข้าใจ และหาแนวทางแก้ไขและพัฒนามากขึ้น การคิดต้องเข้าใจและอยู่บนพื้นฐานของความจริงที่เกิดขึ้น และเป็นผู้นำในการปฏิบัติ ถ้าคนทำ KM ไม่ทำเป็นแบบอย่าง ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องเริ่มที่เรา ปรับที่เรา ถ้าเราใช้วิธีไหนชนะอุปรรคได้ ให้ใช้วิธีนั้น