นำบทความที่เขียนลงมติชนรายวัน ฉบับวันที่ 13 พ.ย. 2553 หน้า 9
e-Training : ครูเครียดทั้งระบบ
สายพิน แก้วงามประเสริฐ
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายพัฒนาคุณภาพครู ด้วยระบบ e-Training โดยให้ครูทั่วประเทศที่มีกว่า 4 แสนคน สมัครเข้ารับการอบรมผ่านเวปไซต์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ 3 เวปไซต์ ซึ่งมอบหมายให้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเขียนโปรแกรมขึ้นมา
ปัญหาที่เกิดขึ้นของการพัฒนาครูด้วยวิธีนี้ เริ่มตั้งแต่เวลาที่แจ้งให้ครูกว่า 4 แสนคนสมัครเข้ารับการอบรมในวิชาต่าง ๆ กว่าครูจะรู้ก็เป็นช่วงปิดเทอม ครูคนใดที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารในอินเทอร์เน็ตแทบไม่รู้เรื่อง รู้อีกครั้งก็เปิดเทอมแล้ว ทำให้ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบช้ากว่าคนอื่น หรือแทนที่จะได้เรียนได้อบรมในระบบ e-Training ตั้งแต่ช่วงปิดเทอม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
การลงทะเบียนเป็นสมาชิกเพื่อเข้าไปเรียนมีปัญหามากมาย เพราะทั้ง 3 เวปไซต์ล่มเป็นเวลานาน ระบบไม่สามารถรองรับครูกว่า 4 แสนคนได้ ด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้พัฒนาตนเองตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ครูต้องเพียรพยายามเข้าไปในเวปไซต์ดังกล่าว สิ่งที่ปรากฏคือ เปิดไปครั้งใดมักจะพบข้อความว่า มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากให้รอก่อน บางครั้งเปิดรอเป็นวัน ๆ ยังไม่สามารถเข้าได้ ทำให้ครูไม่เป็นอันทำอะไร เกิดวิตกจริต
เมื่อเข้าเวปไซต์ได้แล้ว กว่าระบบจะตอบรับให้เข้าไปเลือกวิชาที่สมัครเรียนได้ บางทีใช้เวลาอีกวันสองวันบ้าง หรือครูบางคนระบบก็ยังไม่ตอบรับให้เข้าใช้งานได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด รวมทั้งปัญหาอีกมากมาย แสดงให้เห็นว่าเวปไซต์มีระบบการจัดการที่ไม่ดีเท่าที่ควร
เมื่อต้องการโหลดเอกสารมาอ่าน บางเรื่องในบรรดาหลายเรื่องที่ต้องอ่าน เอกสารมี 50 – 60 หน้า แต่สามารถคัดลอกมาวางในเวิร์ดเพื่อปริ้นออกมาอ่านได้ครั้งละหน้า การโหลดเอกสารจึงต้องเสียเวลามาก ส่วนจะให้ครูนั่งอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ทีละหน้า วัน ๆ ครูคงไม่ต้องทำอะไร รวมถึงอาจมีผลต่อสายตา ส่วนจะให้ฟังเสียงบรรยายอย่างเดียว บางทีเสียงบรรยายก็ไม่น่าฟังอีก
นอกจากครูต้องนั่งอ่านเอกสารแล้ว ยังต้องเขียนความคิดเห็นหรือตอบประเด็นคำถามในกระดานสนทนา หรือแสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่อ่าน ประมาณ 8 ประเด็น จึงจะถือว่าผ่านเรื่องนั้น ๆ แล้ว ถ้าครูมีจำนวนสี่แสนคน แบ่งเป็นครู 8 กลุ่มสาระวิชา เฉลี่ยครูกลุ่มสาระหนึ่งมีประมาณ 50,000 คน คนจำนวนนี้ต้องตอบประเด็นที่อ่านคนละ 8 ครั้ง เป็นคำตอบทั้งระบบต่อ 1 วิชา 400,000 ครั้ง รวม 8 วิชา เป็น 3,200,000 ครั้ง ระบบไม่ล่มให้รู้ไป!
ถามว่าระบบของเวปไซต์ที่เขียนขึ้นมาในโครงการนี้จะรองรับไหวหรือไม่ แค่เข้าไปสมัครสมาชิก เข้าไปอ่านเอกสาร ระบบยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ที่สำคัญเขียนแล้วใครจะอ่าน เหมือนครูให้นักเรียนส่งการบ้านแล้วครูไม่อ่าน หรือไม่ตรวจงาน แล้วจะเขียนทำไมให้เสียเวลา อีกทั้งระบบจะสามารถตรวจสอบคุณภาพของการเขียนได้หรือเปล่า เพราะเห็นข้อความที่คล้าย ๆ กันเหมือนจะลอกกันมา รวมทั้งมีคำตอบที่เหมือนจะไม่ถูกด้วย แล้วระบบจะรู้ไหมนี่! หากไม่เน้นคุณภาพก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องให้ครูเขียน
การพัฒนาครูด้วยระบบ e-Training สร้างภาระให้ครูเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเวลาเรียนที่มีกำหนดเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ กลางวันครูต้องสอน แทบไม่มีเวลาว่าง จะเอาเวลาที่ไหนจดจ่อกับคอมพิวเตอร์ แค่ตอนสมัครเข้าระบบครูก็เครียดไปตาม ๆ กันว่าเมื่อไรจะสมัครได้ แล้วเรียนตอนไหน คอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ อาจมีเพียงพอสำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ ส่วนโรงเรียนเล็ก ๆโรงเรียนในชนบทระบบอินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกท้องที่แล้ว ? มีเพียงพอแล้ว ? แล้วครูที่โรงเรียนน้ำท่วมจะทำอย่างไร
แต่กระทรวงศึกษาธิการคงไม่ต้องซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อการนี้หรอก เพราะจะทำให้ต้องเสียงบประมาณอีก รวมทั้งการให้ครูอบรมผ่านระบบ e-Training ไม่เหมาะกับครูที่ไม่ได้มีเวลานั่งอยู่เฉย ๆ จะได้นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หรือถึงแม้จะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ได้ ก็ไม่สามารถเข้าอบรมได้ เพราะเวปไซต์ไม่เวิร์คมาก ๆ
ถ้าจะให้ครูไปใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้าน ครูส่วนหนึ่งที่อายุมาก ๆ และไม่เชี่ยวชาญการใช้คอมพิวเตอร์ก็จะเกิดความเครียด หรือบางทีการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแต่ละบ้านอาจมีปัญหายังไม่ทั่วถึง อุปกรณ์การต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย ที่เรียกว่า แอร์การ์ด จึงขายดิบขายดี เพราะครูส่วนหนึ่งที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตแต่ดั้งเดิม ต้องลงทุนซื้อแอร์การ์ดที่มีราคาตั้งแต่พันกว่าบาทไปถึงหลายพันบาท แล้วยังมีค่าชั่วโมงในการใช้งานอีก บริษัทขายอุปกรณ์เหล่านี้พากันรวยไป ตาม ๆ กัน
ระบบ e-Training พัฒนาคุณภาพครูได้จริง? หากจะวัดแค่ผลการสอบก่อนเรียนหลังเรียน การทำกิจกรรมระหว่างอบรม ด้วยการอ่านเอกสาร การตอบประเด็นที่กำหนดแค่นั้น แน่ใจได้อย่างไรว่าการทำข้อสอบได้จะแสดงว่าครูพัฒนาจริง เพราะการทำข้อสอบด้วยความเบื่อหน่ายระบบการเรียนแบบนี้ ครูอาจเดา ๆ ข้อสอบ หรืออาจนั่งทำพร้อม ๆ กันหลายคนแล้วช่วยกันทำ ดีไม่ดีอาจให้คนอื่นทำให้ก็ได้ โดยครูไม่อ่านเอกสาร หรือการอ่านเอกสารอย่างเดียวไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร จะก่อให้เกิดการพัฒนาระดับสติปัญญาได้อย่างไร
โครงการพัฒนาครูด้วยระบบ e-Training ใช้งบประมาณสำหรับโครงการนี้ประมาณ 40 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่จัดสรรให้เขตพื้นที่การศึกษาละ 55,000 บาท รวมทุกเขตพื้นที่การศึกษา ประมาณ 12 ล้านบาท เป็นเงินที่ให้ใช้สำหรับการกำกับติดตาม หรือสรุปโครงการ แค่นั้นเองใช้เงินไปประมาณ 12 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือคงหนีไม่พ้นค่าจ้างเขียนโปรแกรมในโครงการนี้ ค่าเขียนหลักสูตร เนื้อหา ค่าวิทยากร และอื่น ๆ
เงิน 40 ล้านบาท เป็นเงินจำนวนไม่น้อย หากได้นำมาใช้อบรมครูจริง ๆ ในหลักสูตรที่จำเป็น ด้วยวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ เงินจำนวนนี้น่าจะได้ใช้พัฒนาครูได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพราะระบบ e-Training ที่ระบบเองไม่พร้อม เปิดได้บ้างไม่ได้บ้าง ล่มเป็นวัน ๆ ครูต้องเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะใช้ได้ เสียเวลามาก ก่อให้เกิดความเครียดมากกว่าจะได้พัฒนาครูทั้งระบบจริง ๆ
ระบบก็ไม่พร้อม ไม่รู้รีบร้อนอะไรนักหนา การพัฒนาครูด้วยวิธีนี้ในเวลา 1 เดือน ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย คิดหรือว่าจะเป็นวิธีพัฒนาครูที่ดีที่สุด และเป็นการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองให้กับครูได้จริง ๆ ?
บางทีการอยู่กับเทคโนโลยีที่เป็นวัตถุมาก ๆ อาจทำให้ชีวิตของเราขาดอะไรไปบางอย่างหรือเปล่า ? แทนที่จะให้ครูมัวสาละวนอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่พูดไม่จากัน กลายเป็นคนขาดมนุษยสัมพันธ์ ทั้งที่อาชีพครูเป็นอาชีพที่ต้องฝึกทักษะการสื่อสารกับผู้คนรอบด้าน ความเคยชินกับการอยู่กับอุปกรณ์ที่ไร้ชีวิตจะทำให้ครูพัฒนาคุณภาพของตนเองได้จริง ๆ ?
การพัฒนาครูทั้งระบบด้วยการอบรมสัมมนา ศึกษาดูงาน พบปะผู้คน หรือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับครูหลากหลายโรงเรียน และกับวิทยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่าให้ครูมัวนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ โดยไม่รู้ว่าตนเองได้อะไร นอกจากรีบ ๆ อ่าน รีบ ๆ ทำข้อสอบให้แล้วไป รวมทั้งระบบโปรแกรมที่ยังไม่เสถียร ยิ่งทำให้ครูเครียดกันทั้งระบบ แล้วการพัฒนาคุณภาพครูทั้งระบบจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ผลักดันการพัฒนาอย่างเร็วและแรงเกินไปหรือเปล่าครับ เลยทำให้เครียดกันทั้งระบบเลย น่าเห็นใจจริงๆ
โดยส่วนตัว ผมมองเป็นเรื่องปกติที่อยู่ๆ ภาครัฐจะมีความคิดแบบนี้ออกมา
เพราะว่าไม่จะเป็นกรมกระทรวงไหน ความคิดของคนนั่งโต๊ะ
มักจะสวนทางกับความสามารถของผู้น้อย
บลาๆๆๆ
มาเครียดด้วยคนครับ
ผมเองก็เครียดมาก เพราะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของระบบราชการ ทางผู้รับผิดชอบน่าจะประเมินเป็นระยะ แม้แต่วิทยากรเจ้าของสาระเองก็แจ้งกลับ ทาง E-mail ไปถึงผมว่า เข้าสู่ระบบยากเหลือเกิน แล้วอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร
อาจารย์เขียนได้โดนใจครูทั้งประเทศ ณ เวลานี้ขณะนี้ที่สุด ถ้ามองในแง่ดีเป็นการพัฒนาครูได้จริง ๆด้วยระบบ e-Training แต่ดูข้อไม่พร้อมมากมายมหาศาลไม่สมกับงบประมาณที่ลงทุนไป อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ได้มาอ่าน ความเครียดของครูว่าท่านที่คิดค้นวิธีนี้ว่าดูดีแล้วหรือยัง จะคิดอะไรต้องกว้างไกลว่าประเทศไทยของเรานี้มีความพร้อมที่จะพัฒนาครูไปทั้งระบบได้หรือไม่ อย่างไรและเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มากน้อยเพียงไร ควรจะทำให้ครูไทยได้มีขวัญและกำลังใจที่จะพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่ระดับสากลดีกว่า มาเคร่งเครียดด้วยระบบ e-Training