วันนี้เรามาอ่านกันต่อดีกว่าค่ะว่าการประชุมประจำเดือนกรกฎาคม 2549 ของกลุ่มโซนใต้เป็นอย่างไร ในส่วนนี้ขอบอกใบ้สักนิดค่ะว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ เรื่องของคณะกรรมการ
คุณภีม ตั้งประเด็นคำถามขึ้นมาว่า เมื่อเรามีเป้าหมายแล้วว่าเราจะขยายสมาชิกให้ได้ครบทุกตำบล เราจะพัฒนาคุณภาพกลุ่มเดิมทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพชีวิต เพราะฉะนั้นเราจะมีวิธีการทำอย่างไร? ซึ่งยุทธวิธีหนึ่งก็คือ เราต้องพัฒนาคณะกรรมการ คนทำงานของเราให้มีความเก่งมากขึ้น ยุทธวิธีที่สอง คือ การเข้าไปร่วมงานกับหน่วยงานราชการ ซึ่งเราต้องวิเคราะห์แบบฟันธงเลยว่าเราควรจะทำงานอย่างไร บอกวิธีการมาเลย ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็จะมีธรรมชาติ มีวิธีการที่เราจะทำงานด้วยไม่เหมือนกัน
คุณบัณฑิต แสดงความคิดเห็นว่า คณะกรรมการยังไม่ได้ซึมซับคุณธรรม ความรู้ ความเข้าใจ เข้าไปในสายเลือด รู้แค่ว่ามาทำงานได้วันละ 130 บาท เรื่องอื่นเขาไม่คิด เขาไม่คิดว่ามันดียังไง มันไปยังไง ต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไร เขายังไม่ได้เข้าถึงในสายเลือด อย่างผมเองก็เหมือนกัน ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนผมก็ไม่ได้ซึมซับเข้าไปในสายเลือด ผมก็ไม่ได้คิด ผมก็แค่อยากเข้ามาลองดูว่ามันเป็นยังไง แต่พอผมเข้ามาศึกษา ผมได้มีโอกาสไปตราด ไปสงขลา ผมไปตราดไปฟังพระอาจารย์สุบินพูดก็มาหน่อยนึงแล้ว พอไปสงขลา กลับมาผมมานั่งคิดจนปวดสมองเลย ตอนนี้ผมมานั่งคิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า คือ ปี 2556 กองทุนจะต้องหาเงินมาออมใส่ไว้ในกองทุนชราภาพเท่าไหร่ ที่คิดออกมาได้ คือ ประมาณ 160,000 บาท เราจะทำอย่างไรจึงจะหาเงินในส่วนนี้ได้ แล้วอีก 15 ปี ซึ่งถึงเวลาที่จะต้องจ่ายบำนาญในกองทุนชราภาพสำหรับผู้ที่อายุ 75 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และออมมาครบ 15 ปี อีกประมาณ 1,000,000 กว่าบาท เราจะทำอย่างไร แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการต่อจากรุ่นเราเขาจะเข้าใจไหม มันจะเข้าไปในสายเลือดของเขาหรือไม่ ไม่อยากให้เขาต้องเข้ามารับภาระต่อจากเรา มันจะเหมือนเป็นตราบาป สิ่งที่ผมคิดต่อไปก็คือ จะทำอย่างไรที่จะดึงคนให้เข้ามาสมัครได้ โดยเฉพาะคนที่มีอายุน้อยๆ นอกจากนี้แล้วยังต้องทำธุรกิจเพื่อก่อให้เกิดดอกออกผล พอไปสงขลา ผมได้มีโอกาสเห็นของครูชบ ในส่วนของการจ่ายเงินชราภาพ เห็นว่าเขามีการกำหนดเป็นขั้นบันใด คนที่ออมครบ 60 ปี และอายุครบ 60 ปี จะได้บำเหน็จ 1,200 บาท/เดือน ในส่วนนี้ผมเห็นว่าถ้านำมาปรับใช้กับของเรา เราต้องทำให้คนเห็นความสำคัญ อย่าทำให้เขาคิดว่าจะได้เงินเดือนละ 1,200 บาท แต่ทำอย่างไรให้เขาคิดว่าไม่ต้องเสียดายเงินบาท เพื่อให้เขาสมัครเข้ามาเป็นสมาชิก เมื่ออย่างนั้นกองทุนจะมีปัญหาคุณยุพิน เสนอความคิดต่อว่า จะทำอย่างไรให้กองทุนนี้โตเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เราจะทำอย่างไรให้เงินน้อยๆมันเพิ่มพูนขึ้นหรือทำให้มันออกดอกออกผล
คุณภีม ถามต่อว่า ในตอนนี้คุณบัณฑิตรู้สึกว่ามีพลังในการทำงานต่อไปไหม?
คุณบัณฑิต ตอบว่า ตอนนี้เต็มร้อยเลยครับ ผมก็เลยบอกกับประธานว่าต่อไปเราจะต้องทำสถิติอายุว่าในปีนี้มีเด็กอายุเท่าไหร่เข้ามาเป็นสมาชิกบ้าง เข้ามากี่คน
อ.ธวัช เสริมว่า ตอนนี้ผมกำลังทำสถิติเปรียบเทียบอยู่ หมายความว่า หมู่ 1 ของเรามีคนอยู่ทั้งหมดกี่คน เข้ามาเป็นสมาชิกของกองทุนกี่คน แต่ละช่วงอายุเข้ามาเป็นสมาชิกเท่าไหร่
คุณภีม ถามต่อว่า เมื่อเราย้อนกลับไป อย่างคุณบัณฑิต ซึ่งตอนแรกก็ไม่สนใจ แต่แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในตัวเอง เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดอย่างนี้ขึ้นกับคนอื่นๆบ้าง
คุณบัณฑิต ตอบว่า ผมคิดว่าทำได้ คือ เราจะทำอย่างไรที่จะปลูกฝังคนที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการให้ได้ ผมเคยปรึกษากับอ.ธวัชว่า จะทำอย่างไรให้คณะกรรมการมาทำงานและมาประชุมครบกันทุกเดือน ถ้าเขาไม่สนใจ เราก็ต้องพยายามหาคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ
อ.ธวัช เสริมว่า เรื่องนี้ก็ทำให้ผมท้อแท้ใจเหมือนกัน อย่างเวลานัดเรามีคณะกรรมการทั้งหมด 12 คน แต่พอมาจริงๆมาแค่ 7 คน ที่เหลือไม่รู้หายไปไหน ทั้งๆที่ผมย้ำตั้ง 2-3 รอบ เขาก็รับปาก แต่พอถึงเวลาจริงๆก็ไม่มา
คุณบัณฑิต กล่าวต่อว่า นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะเอาการจัดการความรู้มาใช้อย่างไรที่จะทำให้เขามีจิตสำนึก
คุณภีม ขยายความในเรื่องนี้ว่า มันมีอยู่ 2 แนว คือ การที่เราจะเติบโตได้ คนของเราข้างในจะต้องมีอุดมการณ์ มีความใฝ่ฝัน อย่างคุณบัณฑิตซึ่งมีความคิดก้าวไปข้างหน้า มีความฝัน ซึ่งจริงๆแล้วเราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนเก่งได้หมด แต่เราต้องมีผู้นำที่มีความเข้าใจ เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคง แล้วค่อยๆสร้างคนขึ้นมา ทีนี้สูตรในการทำอย่างของพ่อชบ คือ 1 ต่อ 50 หมายความว่า ถ้ามีผู้นำ 1 คน ดูแลสมาชิก 50 คน ก็จะพากันไปรอด เราก็เอาสูตรนั้นมาใช้ เราต้องเอาคนเหล่านั้นมาฝึกให้มีอุดมการณ์ ให้มีความฝันร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นการจัดการความรู้อย่างหนึ่งว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มาเป็นผู้นำคนอื่นมีความฝัน มีฝีมือ มีความสามารถ มีความคิด สามารถที่จะทำงานร่วมกันเป็นทีม เราจะมีวิธีการอบรมอย่างไร ทำอย่างไร หรือจัดกระบวนการอย่างไร
อ.ธวัช บอกว่า เห็นด้วยกับคุณภีม ตัวเองอยากเห็นว่าทุกคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของกองทุน ไม่ใช่ว่ากองทุนเป็นของคนใดคนหนึ่ง ผมอยากให้เขามีความคิดอย่างนี้ แต่ผมดูๆแล้วตอนนี้ยังไม่ใช่อย่างนั้น เขาคิดไม่เหมือนเรา ส่วนมากเข้ามาเพราะผลประโยชน์
คุณยุพิน กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านได้รับการปลูกฝังในเรื่องการได้รับมากจนเกินไป เราไม่ได้บอกว่านโยบายของกองทุนหมู่บ้านไม่ดีนะคะ อย่างเรื่องกองทุนหมู่บ้าน คนที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการ เขาจะได้รับเบี้ยประชุม ได้รับค่าตอบแทนในการทำงาน ถามต่อว่ามาทำงานกองทุนสวัสดิการได้รับตรงนี้ไหม ตัวเองบอกเลยว่าต้องทำด้วยใจ
คุณภีม ถามต่อว่า มาทำงานกองทุนได้รับค่าตอบแทนไหม?
อ.ธวัช ตอบว่า ได้วันละ 130 บาท แต่ได้วันเดียว คือ วันออม แต่วันอื่นๆที่เราเชิญมาประชุมจะไม่ได้
คุณภีม สรุปว่า แสดงว่าต้องมีทั้งเรื่องมูลค่าและคุณค่าประกอบกันไป
อ.ธวัช แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า ตัวเองเคยพูดกับประธานเครือข่ายฯว่าคนที่มาทำงานทุกคนท้องไม่ได้ตัน ยังกลวงอยู่ เขายังต้องการอาหาร ปัจจัยการยังชีพ เวลาเขามาทำงานหรือมาประชุม ทำไมไม่ให้ค่าตอบแทนกับเขา การที่ให้มาทำงานฟรีๆ ใครจะเข้ามาทำงานให้ นี่คือสิ่งที่ทำให้งานไม่เดิน แต่พอเสนออะไรไปก็ยังเหมือนเดิม ผมเคยเสนอให้ในแต่ละเดือนจ้างคนมาทำงานให้ แต่ไม่ต้องทำทั้งเดือน อาจทำสัก 1 อาทิตย์ให้เสร็จ เขาก็ไม่ทำ
คุณภีม สรุปว่า สูตรของเราคือ การขยายฐานสมาชิกให้ไปสู่รุ่นเด็ก และต้องสร้างมูลค่าเพิ่มของเงินออม เพื่อที่จะได้นำมาเป็นสวัสดิการให้คนทำงานให้สามารถทำได้อย่างไม่หนักหนาสาหัสนัก
คุณยุพิน กล่าวต่อไปว่า หลักที่บ้านดอนไชยลองทำกับร้านค้าชุมชน คือ เมื่อก่อนตอนตั้งใหม่ๆนั้นลำบาก เพราะ ยังไม่มีระบบ แต่เราก็ต้องค่อยๆเรียนรู้ไปเอง ถ้าเรียนรู้แล้วเอาไปปลูกฝังให้คนทำงานว่าต้องมีความรับผิดชอบ ต่อไปเขาก็จะรู้ตัวของเขาเอง อย่างวันนี้ตัวเองมาประชุมอย่างนี้ก็ต้องมีคณะกรรมการคนอื่นมาอยู่แทน หากมีคนติดภารกิจ อีกคนหนึ่งต้องมาทำแทนหรือมาอยู่แทน เพื่อให้งานไม่สะดุด หรือถ้าเราต้องไปสัมมนาซึ่งตรงกับวันออม ไม่ใช่ว่าเราต้องหยุดกิจกรรมการออม แต่เราต้องหาคนมาทำแทนเรา ดังนั้น ตอนนี้ที่ดอนไชยเราจึงต้องพยายามดึงคนในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วม ตัวเองประกาศบอกไปว่าเด็กที่พิมพ์คอมเป็น เวลาทำรายงานไม่ต้องไปเช่าเครื่องคอมที่ร้าน ที่กองทุนมีเครื่องคอมตั้ง 3 เครื่อง ที่ต้องใช้มีอยู่ 2 เครื่อง อีกเครื่องหนึ่งยังว่างอยู่ ให้เข้ามาใช้ได้เลย เด็กเหล่านี้แหละที่เราจะเอาให้การศึกษา ให้เขามาเรียนรู้ เดี๋ยวเขาก็จะรู้ไปเอง เราจะพยายามให้เขาเข้ามาตรงนี้ให้ได้ โดยพยายามมอบสิ่งที่ดีให้เขา อย่างเด็กบางคนที่บ้านไม่มีเครื่องคอม แต่เขาต้องพิมพ์งานไปส่งอาจารย์ เราก็ดึงเขาเข้ามา ไม่ต้องให้เขาไปจ่ายค่าเช่าเครื่องที่ร้านเป็นชั่วโมง ตอนนี้พอเราบอกไปแล้ว พ่อแม่ก็ดีใจ เพราะ ไม่ต้องเสียเงินให้ลูกไปเช่าเครื่อง มีคนถามว่าไปเอาเงินที่ไหนมาซื้อคอม เราก็ตอบไปว่าก็เงินของชาวบ้านนั่นแหละ
คุณภีม ถามต่อว่า ตอนที่ไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง อ.ตุ้มเอาเรื่องครูใหญ่มาฉายให้ดูรู้สึกอย่างไรบ้าง? ถ้าทำจริงๆคงไม่ง่ายอย่างนั้น
คุณยุพิน บอกว่า คณะกรรมการทุกคนก็คือครูใหญ่นั่นแหละ
คุณภีม กล่าวต่อว่า ผมคิดว่ามันต้องมีเทคนิคหลายๆอย่าง เช่น ฉายหนังให้ดู ไปฟังพระอาจารย์สุบิน เป็นต้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นให้ได้
อ.นวภัทร์ บอกต่อว่า เนื่องจากตัวเองเป็นประธานกลุ่มพัฒนาอาชีพของบ้านเหล่าด้วย เราต้องขอขอบคุณกองทุนสวัสดิการชุมชนที่ได้ให้ยืมเงินไปลงทุนเพื่อสร้างงานให้คนในชุมชน โดยเอาไปลงทุนสร้างโรงอิฐบล็อกสามารถสร้างงานให้คนในชุมชนได้ 10 กว่าคน ต่อไปเราจะขยายสาขา 2 ก็คงจะสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนในชุมชนได้มากกว่านี้
คุณภีม ถามต่อว่า กลุ่มของอาจารย์มีปัญหาเรื่องคณะกรรมการไหม?
อ.นวภัทร์ ตอบว่า ไม่มี เราจะเทคนิควิธีค่อยๆซึมเข้าไปเรื่อยๆ ชาวบ้านก็นิยมชมชอบกองทุนนี้ เพราะ ช่วยสร้างความเจริญ
คุณยุพิน กล่าวต่อไปว่า เราน่าจะสร้างกองทุนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน
คุณภีม บอกว่า เราน่าจะมีการสร้างหลักสูตร ไม่ใช่การอบรมครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นการถอดบทเรียนความรู้ที่เราประสบมา อย่างเช่นของคุณบัณฑิต หรือสิ่งที่เราค้นพบ เพื่อสร้างทีมงานที่เข้มแข็งขึ้นมา โดยใช้กระบวนการของหลักสูตรในขั้นตอนต่างๆ เหมือนกับนักเรียน
คุณฐิติพร เล่าในเรื่องนี้ว่า ตอนนี้ทาง กศน. จะเอาชาวบ้านที่สนใจในเรื่องการปลูกข้าวมาทำกิจกรรมนี้แล้วเก็บหน่วยเอาไว้ มีการเทียบหน่วย
คุณภีม บอกว่า เป็นสิ่งที่ดี ได้งานขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง แต่การทำงานชุมชนเป็นสิ่งที่ยาก บางครั้งสิ่งที่รัฐบาลปรารถนาดีส่งลงมาให้ชุมชนก็มาสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิหวังผลรอบันดาล”
ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะเข้ามาเล่าต่อค่ะ
ไม่มีความเห็น