ในการประชุมครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งประกอบด้วย
วิสัยทัศน์ : การศึกษาแห่งอนาคตเป็นจริงได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
พันธกิจ : (๑) ส่งเสริมสนับสนุนทรัพยากรบุคคล โดยเพิ่มสมรรถนะให้มีวัฒนธรรมการใช้ไอซีทีอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม วิจารณญาณ และ รู้เท่าทัน (๒) ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการแข่งขันของไทย (๓) ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง (๔) ส่งเสริมสนับสนุนการบริหารจัดการด้านการศึกษาที่มีการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล
ยุทธศาสตร์ ๔ ด้าน : สร้างกำลังคนให้มีศักยภาพในการใช้งานอย่างสร้างสรรค์ สนับสนุนการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการศึกษา พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการศึกษา และ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและบริการด้านการศึกษา
โดยผู้เขียนตั้งข้อสังเกตที่ต้องคำนึงถึงในการจัดทำแผนแม่บทฉบับนี้อยู่ ๖ ข้อ
ข้อที่ ๑ หลักการพื้นฐานสำคัญของแผนแม่บทฉบับนี้ คือ การทำให้ทุกคนในสังคมไทยสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะเป็นเครื่องมือในการศึกษาและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ชุมชนและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างเท่าเทียม
ข้อที่ ๒ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ไอซีทีหัวใจชุมชน หมายความว่า แผนแม่บทนี้ควรเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างเด็ก เยาวชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอซีทีที่สามารถใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาสังคม และ ชุมชน คู่ขนานไปกับการสร้างความสามารถ รวมทั้ง ทักษะในการใช้งานทั่วไป และสามารถใช้ทักษะในการพัฒนาเชิงลึก อันที่จริงแล้ว ในสังคมไทยเรามีความคาดหวังต่อการพัฒนาเด็ก เยาวชนด้านไอซีทีในฐานะมนุษย์ที่มีความรู้ และทักษะในการใช้งานไอซีทีที่สามารถเชื่อมโยงความรู้ทางไอซีทีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาสังคม และ ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่มนุษย์ไอซีทีแบบเครื่องจักรกล
ข้อที่ ๓ จำเป็นที่จะต้องเน้นการสร้างวัฒนธรรมในการใช้งานไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ หรือ เรียกว่า วัฒนธรรมสร้างสรรค์ในการใช้สื่อใหม่ ในขณะที่แผนแม่บทนี้ฉบับนี้เน้นการสร้างทักษะความรู้ ความสามารถในการใช้งาน การสร้างหรือปลูกแนวคิด ความเชื่อในการใช้งานไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ ที่พิจารณาถึง (๑) การรู้เท่าทัน ทั้งการรู้เท่าทันเทคโนโลยี รู้เท่าทันสารสนเทศและรู้เท่าทันการสื่อสาร (๒) การใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการพัฒนา ทั้ง การพัฒนาตนเอง ชุมชน และสังคม และ (๓) การเคารพกติกา มารยาท หรือกฎเกณฑ์พื้นฐานที่เด็ก เยาวชนควรมีในการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ข้อที่ ๔ การเสริมสร้างประสิทธิภาพของการใช้งานไอซีทีเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงบรรยากาศของการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายทางภายภาพและเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยครูเป็นผู้อำนวยให้เกิดบรรยากาศของการใช้งาน บรรยากาศของการเรียนรู้ ซึ่งประเด็นหนึ่งของวิธีการในการทำงานที่น่าสนใจก็คือ การสนับสนุนให้เด็ก เยาวชนสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน หมายถึง คงต้องเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเข้ามามีบทบาทในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน
ข้อที่ ๕ การบริหารจัดการแผนแม่บทที่ถูกสร้างขึ้นแบบเชื่อมโยง การสร้างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างเป็นเอกเทศ อาจจะมีปัญหาในทางบังคับใช้แผนในสังคมที่อาจไม่มีความสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น นอกจากเด็ก เยาวชนจะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในโรงเรียนแล้ว ยังมีการใช้บริการในร้านเกมคาเฟ่ หรือ ศูนย์อินเทอร์เน็ตชุมชน ซึ่งหากจะต้องส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน สามารถใช้ไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ ไม่อาจจะจัดการเพียงแค่สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนอย่างเดียวได้ คงต้องพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมอื่นประกอบด้วย ดังนั้น การจัดทำแผนแม่บทที่มีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ไอซีทีในชีวิตประจำวัน ทั้ง ร้านเกมคาเฟ่ และ ศูนย์อินเทอร์เน็ตชุมชน
ข้อที่ ๕ การพัฒนาเนื้อหาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้โดยการบริหารจัดการผ่านเครือข่าย ในที่ประชุมให้ความสำคัญกับการพัฒนาเนื้อหาออนไลน์ มีการยกตัวอย่างประสบการณ์ในการทำงานของ KERIS ความน่าสนใจของการสร้างและพัฒนาเนื้อหามีด้วยกัน ๓ ส่วน คือ ส่วนแรก การจัดตั้งศูนย์กลางของการทำงานด้านการพัฒนา หรือที่เรียกว่า ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศแห่งชาติ ตามนโยบาย 3N ที่มีภาระหลัก ๕ เรื่อง คือ (๑) พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บฐานข้อมูล (๒) การเผยแพร่ฐานข้อมูลไปยังสาธารณะ (๓) การสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนเข้าถึงและเข้าใช้ (๔) การอบรมให้ความรู้เพื่อให้ครู เด็ก ชุมชนสามารถสร้างเนื้อหาด้วยตนเองได้ และ (๕) การจัดแบ่งหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและใช้งาน ส่วนที่สอง เนื้อหาเพื่อส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตอบสนองต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย และ ส่วนที่สาม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ การบริหารจัดการเพื่อสะสม สร้าง สนับสนุนการพัฒนาเนื้อหาจากเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว เพราะการดำเนินการเองเพื่อจัดทำเนื้อหาด้วยกระทรวงเองน่าจะช้ากว่าการบริหารการสร้าง และพัฒนาเนื้อหาผ่านเครือข่าย โดยอาจมีการบริหารจัดการแบบพัฒนาเนื้อหาด้วยกระทรวงเอง ผ่านครู อาจารย์ร่วมกับนักเรียนในแต่ละกลุ่มสาระ หรือสาขาวิชา หรือ ผ่านเครือข่ายองค์กรต่างๆที่มีการทำงานเรื่องนี้
ข้อที่ ๖ การสร้างประสิทธิภาพของการบังคับใช้แผนแม่บทที่มีประสิทธิภาพ ควรต้องพิจารณาถึงสาระสำคัญของการทำงานใน ๓ ส่วนคือ ส่วนแรกซึ่งสำคัญอย่างมาก คือ การสร้างความเชื่อร่วมกันของคนในสังคมโดยเฉพาะผู้บังคับใช้แผนแม่บทฉบับนี้ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ และ คนในสังคม โดยถือว่าแผนแม่บทนี้เป็นแผนแม่ของชาติ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่แผนของรัฐบาล หรือ แผนของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ซึ่งจะมีผลไปยัง ส่วนที่ ๒ คือ การสร้างเสถียรภาพของแผนแม่บทที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามนโยบายทางการเมือง และ ส่วนที่ ๓ การสร้างความเป็นเอกภาพของการทำงานระหว่างหน่วยงานและส่วนที่เกี่ยวข้อง
อาจารย์ดร.อิทธิพลครับ น่าสนใจมากเลยนะครับ ขอชื่นชมในความริเริ่มมากๆครับ
ขอร่วมสะท้อนข้อสังเกตบางประการครับอาจารย์
ด้วยความเคารพและเสนอแนะ เพียงเพื่อทักทายและบอกว่าน่าสนใจเท่านั้นหรอกนะครับ สบายๆนะครับ ไม่ยักรู้ว่ามีคนของเรา ผมหมายถึงคนมหิดลเกาะติดและได้ทำเรื่องนี้ให้กับงานทางการศึกษาระดับชาติ
ขอบคุณมากเลยครับ อาจารย์ วิรัตน์
ต้องเรียนก่อนว่า วิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ นั้นเป็นการพัฒนาจัดทำโดยกระทรวงศึกษาธิการครับ เราในฐานะนักวิชาการเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็น
จะส่งความเห็นของอาจารย์ไปที่กระทวงศึกษาธิการครับ ความเห็นของอาจารย์น่าสนใจมากครับ
ผมกำลังพัฒนาแผนแม่บทกองทุนเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ให้กับ ศธ คงจะเชิญอาจารย์มาร่วมเสนอแนะครับ
เรียน อ.วิรัชต์ ผมเห็นด้วยอย่างมากกับกระบวนการจัดการเพื่อการพัฒนา การรวมศูนย์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นจุดอ่อนที่สุด ที่ว่าเป็นจุดอ่อนเพราะการรวมศูนย์แบบไม่กระจายกำลังให้กับเครือข่าย ร่วมแบ่งปันและบริหารจัดการร่วมกับเครือข่าย น่าจะต้องชวนกันมองเรื่องการบริหารจัดการความรู้ร่วมกับเครือข่ายกันจริงจังสักรอบ ถ้าเป็นไปได้ชักชวนประชาคมมหิดลร่วมมองกัน จะดีหรือไม่ครับ
หมายถึง การชัดชวนชาวประชาคมมิหดลมามองเรื่องการจัดการแผนแม่บทไอซีทีเพื่อการศึกษาผ่านเครือข่ายในสังคมไทย น่าสนุกนะครับ
เป็นเรื่องที่ดีและควรทำครับอาจารย์ ขอเอาใจช่วยครับ
แต่อาจจะต้องทำไปหลายๆทางหรือเปล่านะครับ ตามประสบการณ์ผมนี่ จำเพาะเรื่องนี้ผมเห็นความจำเป็นว่าควรจะได้มีการเตรียมความรับรู้และการทำให้กลุ่มคนที่จะต้องมาคิดเรื่องนี้ด้วยกันนั้นมีประสบการณ์ต่อสังคมที่กว้างขึ้นและได้รับรู้ความเป็นจริงใหม่ๆก่อน ซึ่งอาจจะทำได้หลายๆทางก่อนหรือเลือกเอาวิธีที่พอทำได้สบายๆน่ะครับ เมื่อไม่สามารถทำได้แล้วจึงค่อยทำไปตามอย่างทั่วๆไปซึ่งก็เสมอตัวอยู่แล้ว แต่ทำสิ่งเหล่านี้ก่อนได้ก็ย่อมจะดีกว่าแน่ๆครับ เช่น
ในขั้นการเดินและจังหวะก้าวนั้น เรื่องนี้ต้องให้น้ำหนักการบูรณาการไปด้วยกันกับการปฏิบัติ มากกว่าการได้ความคิดที่ดีและเข้มข้นแต่ขาดการขับเคลื่อนภาคปฏิบัติ ดังนั้น ค่อยคิดค่อยทำไปก็ได้ครับ ค่อยๆเริ่มจากกลุ่มที่พอเกาะเกี่ยวกันติดและคุยกันได้ แล้วค่อยๆ ออกแบบกระบวนการที่พอเหมาะก็ได้ครับ
มีบางส่วนอยากฝากเป็นของแถมเอาไว้เมื่ออาจารย์มีโอกาสทำ และเมื่อผมมีโอกาสก็จะกระเพื่อมไปเรื่อยๆเสมอนะครับ คือ ในเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาเรียนรู้นั้น นอกจากมองระดับพัฒนาการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว มหาวิทยาลัยมหิดลน่าจะเป็นเวทีระดมพลังสังคมเพื่อประเด็นระดับชาติ ในเรื่องที่มหิดลควรเป็นเจ้าภาพได้นะครับ คือ.................
ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น ก็ไปมีส่วนร่วมทำให้เป็นส่วนกลางของกระทรวงและแหล่งอื่นๆซึ่งเขาก็ย่อมมีความเชี่ยวชาญและมีคนที่พอจะดูแลกันไปได้ แต่เรื่องเหล่านี้ ควรจะเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยมหิดลควรจะดูแลเพราะอยู่ใน Line ของเราและมีคน จึงควรเป็นเจ้าภาพในประเด็นระดับชาติและเป็นเวทีระดมเครือข่ายความร่วมมือจากทั่งประเทศและจากนานาชาติน่ะครับ
คิดฉับพลันอย่างไม่เป็นระบบเพียงเป็นตัวอย่างและเป็นไอเดียเฉยๆนะครับ หากทำกรอบอย่างนี้ก็แทบจะเห็นลางๆเลยว่าควรจะมีเวทีอะไรและใครที่จะเป็น Contributor เข้ามาสู่เวทีกันบ้าง ฟังดูใหญ่นะครับ คิดใหญ่ๆให้ถ้วนทั่วและทำเล็กๆตามกำลังความพร้อมจะดีน่ะครับ