หลายปีมาแล้ว น้าทองมากผู้เป็นเสมือนพ่อคนที่สองของผม ได้พบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในครอบครัว น้ามีลูกชายเพียงสองคน น้องพิมลเรียนอยู่ปีสุดท้ายที่วิทยาลัยครู น้องนพพรก็ไปเรียนอยู่ที่สถาบันเดียวกัน น้องนพพรท้องเสียไปรพ.เขาให้น้ำเกลือแต่ทำพลาด มีฟองอากาศขึ้นไปทำให้สมองมีปัญหา ต้องนอนเป็นอัมพาต รักษาตัวอยู่ที่รพ.ประสาทเป็นแรมเดือน โดยมีแม่ไปคอยประคับประคองดูแล น้องพิมลมาเยี่ยมน้องชายทุกเย็น และแล้วเย็นวันหนึ่งน้องพิมลถูกคนเมาขับรถชนตายที่หน้ารพ.ประสาท
กลับมาจัดการศพกันที่บ้านที่ไชยา ผ่านไปเพียงสองวัน ยายหอม แม่ของน้าทองมากก็มาล้มตายลงอีกคน ผมลงไปจากกทม. เพื่อร่วมงานศพน้องพิมลที่รักผมเหมือนพี่ชายแท้ๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นโลงศพวางคู่กันเป็นสองราย ยายหอมที่ดูแลแม่ของผมมา ได้นอนเคียงคู่กับหลานพิมลเสียแล้ว น้องนพพรก็พงาบๆอยู่ที่รพ.ประสาทสงขลาไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นรูปแบบใด
ตอนนั้นน้าทองมากเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) สนิทสนม และรับใช้ใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาสอยู่เสมอมา เหตุการณ์ครั้งนั้นล่วงรู้ถึงท่านอาจารย์ ท่านจึงสั่งคนมาบอกน้าทองมากว่า ...
" บอกครูทองมากด้วยว่า .. ให้หัวเราะ "
ขอบคุณครับ
บางครั้งเป็นการยากมากที่คนอื่นจะเข้าใจกิริยาการไม่มีอาการเศร้าโศกร้องให้ ฟูมฟาย น้ำตาไหลให้เห็นเมื่อญาติสนิท หรือคนในครอบครัวตาย เพราะการแสดงออกจนชินตาต้องเป็นเช่นนั้น
บางครั้งการตายโดยอุบัติเหตุอาจเป็นอะไรที่ทำใจยากเพราะกระทันหันเกินไป แต่หากป่วยมาเป็นเวลาสมควรก็สามารถจะทำใจได้
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับการฝึกมาและรู้แจ้ง เห็นจริงในวัฏสงสาร
เคยมีคนไกล้ชิดตายแต่ไม่ได้ร้อง ไม่เศร้ามากแต่ก็เสียใจเล็กๆและคิดถึงเป็นธรรมดา เพียงเพราะคิดว่าหมดเวลาของเขา คนก็มองเราแปลกๆ เหมือนใจกระด้าง แต่เราก็อยากบอกหลายๆคนว่า ถ้าเกิดก็ต้องตาย เป็นธรรมดาจริงๆ ไม่มีใครหนีพ้นและเป็นความจริงที่ทุกคนต้องผ่านเส้นทางนี้ สร้างกุศลให้ถึงพร้อมก็พอ