นั่งพิจารณาตัวเองว่าทำไมถึงได้มาเรียนปริญญาเอก อยากอุทิศตนเพื่อการศึกษา หรือทำเพื่อสังคมรึเปล่า ก่อนหน้าที่จะคิดเรียน มีเพื่อนหลายคน (เกือบทุกคน) บ่นว่าการเรียนปริญญาเอกนั้นแสนสาหัส ไม่เข้ามาไม่รู้หรอก ก็คิดว่าพอรู้อยู่ ไม่งั้นทุกคนคงไม่รอช้าที่จะเรียนปริญญาเอกหรอกนะ ถ้ามันได้มาง่ายๆ แต่ทำไมต้องเรียน
ก่อนหน้านี้ไม่คิดเรียนเพราะอะไร!?! ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้ แต่เพราะยังไม่เห็นเป้าหมายว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร จบปริญญาโทมา จะด้อยค่ามากเลยรึไง พยายามเถียงคนอื่นข้างๆ คูๆ กับถึงสาเหตุที่ยังไม่คิดจะเรียนซะที ก็เพราะว่ากลัวความยากลำบากที่ได้รับรู้มา และคิดว่าความรู้เราคงได้แค่ปริญญาโทนี่ล่ะ แล้วจบโทมาก็หรูแล้วนะ
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วันเวลาผ่านไป นักศึกษาที่เราสอนเริ่มเรียนจบ เริ่มเรียนต่อโท (ดีๆ นักศึกษาเราใฝ่หาความรู้) แล้วพวกเค้าก็เริ่มเรียนจบโท เอ..!!! ชักจะยังไงๆ แล้วนะ ปริญญาโทจะล้นประเทศซะแล้วมั้ง เอาน่า…เราทำงานก่อน เรียนจบก่อน ยังไงๆ ประสบการณ์ก็เยอะกว่า เมืองไทยมีคนเรียนสูงๆ เยอะๆ ก็ดีจะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วันเวลาผ่านไป...อีก เพื่อนร่วมงานที่ได้ทุนเรียนปริญญาเอกจากต่างประเทศ หายแว็ปไปสาม-สี่ปี เริ่มกลับมา เอาแล้วสิ… จากที่คณะมีดร.คนเดียวคือคณบดี ตอนนี้มากัน สาม-สี่คนแล้ว ฮืม…เราจบโทจะเป็นหัวหน้าคนจบเอกได้ซักกี่เดือนน้า ประกอบกับคนใกล้ชิดจบปริญญาเอกคนหนึ่ง พูดกรอกหูทุกวันว่าเรียนปริญญาเอกทำให้เกิดโอกาสอะไรได้อีกตั้งมากมาย เขียนตำราก็ดูจะมีความน่าเชื่อถือ ดีกว่าเป็นนายอะไรก็ไม่รู้เขียน จะพูดจะจาอะไรก็ดูจะมีคนเชื่อถือ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เรียกได้ว่า </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt 19.85pt" class="Bullet1">· คนจบตรีบอกว่า 1+1 = 3 เอ..!!??!! คนนี้มันบ๊องรึเปล่าเนี่ย </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt 19.85pt" class="Bullet1">· ถ้าดร.บอกว่า 1+1 = 3 ฮืม..!!??!! ดร.คนนี้เค้ากำลังคิดอะไรอยู่น้า เค้าจะสื่ออะไรถึงเลข 1 ของเค้าน้า อ้าว… เป็นอย่างงั้นเลยเชียว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">“ดร.อีกท่านหนึ่งที่รู้จัก เคยให้ความเห็นว่า ตอนเค้าเรียนจบโทมา ทำงานในระดับผู้บริหาร พูดเสียงดังในที่ประชุมเสนอความเห็น ไม่มีใครได้ยิน (หมายถึงการเห็นด้วย) แต่พอเค้าจบดร.มา พูดค่อยๆ ในที่ประชุม ทุกคนเห็นดีเห็นงามไปด้วย”</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">จริงๆ รึเปล่าน้า…เอ้า ไหนๆ ก็เอาตัวเองเข้ามาเรียนรู้แล้ว ถ้าอยากรู้ต้องพยายามรีบๆ จบให้ได้ แล้วคำตอบก็คงจะปรากฏเองแหละ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เราคงต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร เราจะเรียนสูงๆ เพื่ออะไร มันให้คนเป็นคนได้มากขึ้นกว่าเดิมมั้ย ฮ่าฮ่า ไม่เรียนอะไรก็เป็นคนอยู่นะ แต่เรียนเพื่อได้มีโอกาสให้ตัวเอง มีโอกาสให้ได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่น ที่สำคัญทำงานสายนี้มันลำบากที่จะก้าวหน้าถ้าไม่ไ้ด้ “กระดาษแผ่นนั้น”</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ถ้าเปรียบการเรียนเป็นการเดินทางไปสู่เป้าหมาย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ณ ถนนสายหนึ่ง มีคนเดินอยู่บนฟุตบาท มีคนขี่จักรยานยนต์ มีคนขับรถยนต์อยู่บนถนน หลากหลายยี่ห้อ ติดไฟแดงบ้าง ผ่านทางแยกเลี้ยงผิดบ้าง หลงทางบ้าง แต่ก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน ต่างกันตรงที่เวลา คนถึงเร็วก็ได้พักผ่อน ทานน้ำ นั่งมองคนอื่นๆ หรืออาจจะเดินทางต่อไปถนนเส้นอื่นๆ ส่วนคนถึงช้าอาจจะเพราะเดิน เหนื่อยหน่อย แดดร้อน มีร่มเงาบ้าง ไม่มีบ้าง เหงื่อออกหอบแฮกๆ กันไป คนขี่จักรยานยนต์ ก็สบายๆ แต่ถ้าซิ่ง ถึงจะเร็ว แต่ก็เสี่ยงกว่าคนขับรถยนต์ ที่มีแอร์ ฟังเพลง อาจจะขับช้าขับเร็ว ก็แล้วแต่นิสัยของคนขับ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">คนเดินถนนอาจจะเป็นคนจบการศึกษาภาคบังคับ กว่าจะไปถึงจุดหมายได้ก็คงต้องเหนื่อยหน่อย แต่บางคนจุดหมายอาจจะอยู่ใกล้ ความสุขอาจจะหาได้ง่ายๆ ไม่เดือดร้อนที่จะเดินด้วยลำแข้งของตัวเอง เพราะถึงยังไง ก็เป็นกลุ่มคนที่มีเวลามองดูรายละเอียดต่างๆ ของท้องถนนแห่งนั้นได้ดีที่สุด ใกล้ชิดที่สุด</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">คนขี่จักรยานยนต์อาจจะเป็นคนจบปริญญาตรี มีแยอะแยะมากมายในท้องถนนกรุงเทพ มีตั้งมายมายหลายรุ่น เพราะจบมาจากหลากหลายสถาบัน ขับขี่ดีๆ ก็ไปถึงจุดหมายได้ไม่เห็นยาก บางคนอาจใจร้อน ชอบความเร็ว ก็ซิ่งไป ถึงจุดหมายได้ แต่ต้องไม่ประมาท ใส่หมวกกันน๊อคด้วย ไม่งั้นก็เนื้อหุ่มเหล๊กดีๆ นี่เอง คนขี่จักรยานยนต์ที่ชำนาญๆ เรียนรู้ที่จะใช้เส้นทางลัด ขับไปช่องทางแคบๆ ซอยต่างๆได้ และมีความคล่องตัวกว่ารถยนต์มากเชียวนะ จะว่าไป หาที่จอดก็ง่ายกว่า ค่าน้ำมันก็ถูกกว่า แต่ไปดูถูกไม่ได้นะ เพราะบางคันยังแพงกว่ารถยนต์ด้วยซ้ำไปเลย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">คนขับรถยนต์อาจจะหมายถึงคนเรียนสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไป จบปริญญาโทก็ขับรถยนต์แล้วล่ะ แต่จบปริญญาเอกมีติดป้ายสติกเกอร์ให้ผ่านทางได้ง่ายขึ้นก็เท่านั้น ขับรถยนต์ก็ดี ไม่เหนื่อยมาก แต่ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของรถด้วยนะ บางทีขับรถยนต์บางยี่ห้อ คนให้ความเชื่อถือมากกว่าพวกรถยนต์รุ่นกระจกหมุนมือ แต่อย่างว่าแหละ ไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน ถ้าคนขับอยากได้สติกเกอร์ผ่านทาง ต้องไปหาซื้ออยากลำบากหน่อย รถยนต์หลายคันก็เลี้ยวกลับไปหาทางอื่นผ่านเอาก็มี</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ข้อดีของการขับรถก็คือ ยังไงๆ ก็ไปในที่ไกลๆ ได้สะดวกกว่าที่จะเดิน หรือขี่จักรยานยนต์นะ แต่บางครั้งปัญหาพอรถยนต์ใหม่ๆ เริ่มออกมา คนซื้อกันไว้ใช้มากมาย รถก็เริ่มติด ดีไม่ดีเราก็มักจะอิจฉาพวกขี่จักรยานยนต์ที่สามารถซอกแซกไปได้เรื่อยๆ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ว่าแล้วก็กำลังเดินทางไปหาซื้อสติกเกอร์บ้าง จากนั้นท่านผู้อ่านลองคิดๆ นะคะว่าจุดหมายของท่าน จะเดินทางไปถึงด้วยวิธีไหนดี เวลามีมากพอมั้ยที่จะเดิน หรือจุดหมายไม่ได้ไปไกลมาก แค่ไปซื้อขนมที่หน้าปากซอย หรือต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ คงต้องขับรถล่ะ แต่ยังไงๆ ค่าน้ำมันก็เป็นปัจจัยสำคัญ บางครั้งคนเดินถนนอยากจะหารถขับ แต่ไม่มีเงินทั้งซื้อรถ และเติมน้ำมัน บางคนมีโอกาสขับเพราะคุณพ่อคุณแม่ซื้อรถให้ขับ บางคนต้องทำงานไปด้วย เพื่อหาเงินซื้อรถ ซึ่งก็เหนื่อยหน่อย แต่พอได้มาก็สะดวกขึ้น</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ทักษะในการขับรถก็ไม่ควรจะละเลย ไม่งั้นรถอาจจะประสบอุบัติเหตุได้ด้วยนะคะ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อยู่ๆ ก็นึกๆ อะไรขึ้นมา แล้วมาเขียนๆ บันทึกนี้น้า อ๋อ…เมื่อไปสะกิดใจจากบันทึกของนายบอนนั่นเอง เลยมานั่งเขียนปัญหาจราจรกรุงเทพซะอย่างงั้น</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
เรียน ท่าน IS ที่เคารพ
เรียน คุณ"IS"
ดิฉัน...เปิดและนั่งอ่าน มองเห็นตั้งแต่จ่อหัว ตัวเองก็เคยเป็นนักศึกษามาทุกระดับ และก็กำลังเป็น ณ ปัจจุบันนี้ด้วย...การที่เรียน..คือ การให้โอกาส.."ตน"...และเป็นคนที่ไม่เคยรอโอกาสหากแต่จะเป็นคนที่วิ่งไปโอกาสนั้นเอง...และยิ่งเรียนเราก็เลยยิ่งรู้ว่า "เรานั้นไม่รู้อะไรเลย" และมีอะไรอีกมากมายที่เราไม่รู้ ดังนั้นดิฉันจึงไม่เคยที่จะหยุดนิ่งในการเรียนรู้ คว้าทุกช่องทางเพื่อ..ให้ได้เรียนรู้เพื่อเติมเต็มสิ่งที่มืดบอดแห่งปัญญา...และไม่เคยใส่ใจว่าจะต้องได้ใบปริญญาอะไรมาบ้าง การเรียนดำเนินไปทั้งในระบบ และนอกระบบ...เท่าที่ตนจะหาโอกาสให้แก่ตนได้...
การที่ดิฉันนำข้อมุ,ใส่ไว้ในประวัติตนเพราะแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของคน ในสังคม...เท่านั้น เพราะคนมักมองคนที่ว่าคนนั้นจบอะไร หากแต่ไม่ได้มองว่าคนคนนั้นมีความรู้แห่งปัญญานั้นอย่างไรบ้าง น่าสลดใจยิ่งนักหากสังคมไทยมามัวพูดแต่เรื่องใบปริญญา หรือว่าจบอะไรมามากกว่าที่จะมองไปที่เนื้อแท้แห่งปัญญาของคนคนนั้น...
รู้สึกชอบมากที่ได้เข้ามาอ่านในบันทึกนี้..เพราะได้เห็นคุณไปทิ้งรอยไว้ที่บันทึกบางบันทึก..ก็ให้นึกชื่นชม...อย่างน้อย...การที่ได้เข้ามาสัมผัสการเรียนรู้ในระดับนี้ก้ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเหนือหรือวิเศษกว่าใคร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่ว่าความเป็นคนอันเป็นผู้มีปัญญานั้นเราใช้มันมากน้อยแค่ไหน และลงมือทำประโยชน์ต่อสังคมแค่ไหนกันต่างหากเล่าที่มีค่ามากยิ่งกว่าใบปริญญาหรือวุฒิการศึกษาใดใด..ในหล้า
การเรียนเพื่อเรียนรู้ตนเอง เพราะคนในสังคมก็อยากจะไขว่คว้า แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสนะคุณ IS จบสูงหรือจบอะไรก็ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งนี้ สิ่งสำคัญคือ วิธีคิดและการดำเนินชีวิต ไม่ให้สังคมเดือดร้อนก็ok. แล้ว และกระทำตนให้เกิดประโยชน์แก่สังคมเท่านั้นชีวิตก็มีความสุขแล้ว ถามว่า " ความสุข"อยู่ที่ใด ก็อยู่ที่ตนคิดนั่นแหละ
จาก ผู้เรียนน้อยนะครับ
คุณ IS ครับ
ผมติดตามบันทึกของคุณ IS มาช่วงหนึ่งแล้วครับ แต่ยังไม่ได้ให้ข้อคิดเห็นใด
อ่านบันทึกนี้แล้ว ชอบครับ เพราะสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นจริง ไม่ปฏิเสธว่าสังคมเราให้ค่ากับดีกรีมากครับ พูดอะไรเป็นถูกไปหมด ซึ่งคนเหล่านี้เอง จะเป็นมันสมองในการสร้า้งสรรค์ปัญญาให้เกิดงอกงามทั่วประเทศ
ถึงไม่ได้เป็นนักปฏิบัติโดยตรง แต่ก็มีผลกับยุทธศาสตร์ของประเทศ เราพึงพามันสมองเหล่านี้
อยากให้นักเรียนรู้ บัณฑิต ที่มีดีกรี สมค่า ของความคาดหวังของสังคม
ผมชื่มชม วิธีคิดของคุณ IS ครับ
ผมทำงานกับชาวบ้าน มีชาวบ้านหลายๆคนที่เป็นปราชญ์ และมี ศักยภาพสูงในการนำพาสังคมในระดับชุมชนของเขาผ่านวิกฤติและแก้ไขด้วยปัญญา
ด้วยแรงพลังแห่งความดี และความตั้งใจจริงที่จะทำให้สังคมดีขึ้น ความรู้จึงแปรออกมาเพื่อรับใช้สังคมอย่างแท้จริง
ผมชื่มชมคนเหล่านี้ครับ
ให้คุณ IS สำเร็จการศึกษาในเร็ววัน และมาร่วมกันพัฒนาบ้านของเรานะครับ
ให้กำลังใจครับ
ด้วยครัทธาครับ
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ขอขอบคุณอาจารย์ iS ...
การมีโอกาสเรียนต่อปริญญาเอกเป็นโอกาสทองของชีวิตที่จะ... เรียนรู้
ชาติบ้านเมืองต้องการคนดี + เก่งจำนวนมากมาร่วมกันทำงานเป็นเครือข่ายคนดี
เรียนปริญญาเอกทำให้เกิดโอกาสอะไรได้อีกตั้งมากมาย ครูอ้อยขอชื่นชม แนวความคิด วิธีการเขียน การลำดับเหตุผลของคุณ IS ที่เขียนได้โดนใจครูอ้อยมาก
แต่ก่อนที่ครูอ้อยตัดสินใจเรียนต่อนี้เพราะเหตุผลที่มีโอกาสก็ว่าได้แล้วตามไปอ่านในบันทึกครูอ้อย
และโอกาสแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ทั้งนี้ปลายทางเรามักจะมีจุดมุ่งหวังที่คล้ายคลึงกัน
เมื่อเข้าเรียนและได้งานมาคิด มาทำ มาศึกษา มันมากมายจนลำดับไม่ถูกว่าจะทำอะไรดี ครูอ้อยทำงานด้วย เรียนด้วย และตั้งใจทั้งสองเรื่อง แต่ไม่กล้าคิดว่าไม่ดีทั้งสองเรื่อง พยายามค่ะ
อ่านข้อความของท่านนักปราชญ์ทั้งหมดนี้ มีกำลังใจมากเลยค่ะ ตอนเรียนจบปริญญาโท อายุ 42 ปี 6 ปีที่ผ่านมาได้นำความรู้จากการเรียนนั้นทำประโยชน์มากมายซึ่งไม่อาจจะกล่าวในที่นี้ได้
ในอนาคตใกล้ๆนี้ เรียนจบอีกก็คงไม่ผิดแผกแตกต่างกันเท่าไรค่ะ
ชอบคำว่า แหกคอก ของคุณหมอวัลลภค่ะ
ชอบคำว่า ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ว่าเรายังไม่รู้อะไรเลย ของ Dr.Ka-Poom ค่ะ
ชอบคำว่า แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ของ ผอ.บวรค่ะ
กลับมาอีกรอบคะ...
อยากเห็นบรรยากาสแห่งการ ลปรร. เช่นนี้
แลกกันคิด...แลกกันฟัง...
หากแต่..สรุปลงด้วยมิตรภาพ...
แห่งความงดงาม
มากกว่าที่จะฟาดฟัน...
ว่าความคิดใครเจ๋งกว่า...ใคร...
เป็นกำลังใจให้เรียนจบเร็วๆ ครับ ถ้ามีโอกาส และความขยันมากกว่านี้จะไปหา "สติกเกอร์ผ่านทาง " มาติดรถบ้างครับ
ขอบคุณที่เปิดโลกใบใหม่ๆ ให้รู้อะไรมากขึ้นครับ
ขอบคุณคุณเจษฎานะคะ ที่แวะมาให้กำลังใจค่ะ
"ถ้ามีโอกาส" อาจจะไปหา "สติกเกอร์ผ่านทาง" บ้าง
ดีค่ะ ที่คิดแบบนี้ แต่ส่วนนึงต้องมองหา "โอกาส" และพร้อมเปิดบ้านต้อนรับมันไว้ตลอดเวลานะคะ เพราะบางครั้งคนเราลืมสังเกตุว่าเจ้าตัว "โอกาส" แวะมาหาแล้ว แต่เราไม่ได้ต้อนรับเค้า เค้าเลยเดินผ่านไป
พยายามสู้ๆ และค้นหาสิ่งที่ต้องการให้พบนะคะ
ขอเข้ามาเยี่ยมอีกครั้งค่ะ ที่ไหนมีความสุขก็อยากจะไปหลายๆครั้ง จริงใหมคะ
สติ๊กเกอร์ผ่านทาง ซื้อยากจังค่ะ คุณ IS ครูอ้อยสู้และพยายามอยู่เสมอ Dr.Ka-poom บอกครูอ้อยว่า
.. เครียด...งานก็เสร็จ
...ไม่เครียด...งานก็เสร็จ
ครูอ้อยมีทั้ง 2 อย่าง ทั้งเครียด และไม่เครียด ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณ คุณ SmartNurse และคุณครูอ้อยนะคะ เอ แวะมาคู่กันหลายบันทึกแล้ว นัดกันมาหรอคะ
จริงอย่างที่กะปุ๋มว่ามั้งคะ เครียดหรือไม่เครียด งานก็เสร็จ ยังไงๆ มนุษย์เรามีความสามารถในการทำงานให้เสร็จได้ เพียงแต่อาศัยปัจจัย เงื่อนไข และเวลาที่แตกต่างกัน
ยินดีได้เพื่อนร่วมทางในถนนสายนี้นะคะ ครูอ้อยดูจะขับรถไปไกลกว่าด้วยซ้ำแล้วเนี่ย
ก็คอเดียวกันไงล่ะคะ คิดไปเองหรือปล่าวนี่ ขับรถไปด้วยเป็นตะคริวไปด้วย ช่วยด้วยค่ะ อ่าน ที่นี่ค่ะ
บางวันเครียดมาก ไม่รู้จะทำอะไร เดินดุ่มเข้าไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อน
ผลคือ เพื่อนก็ไม่เสร็จ(งานไม่เสร็จ) เหมือนกัน โถ หลงเครียดตั้งนาน อิอิ
ดังนั้น เพื่อนจะทำให้หายเครียด โดยเฉพาะ ถนน gotoknow ที่มีกัลยาณมิตร ขอบคุณ สวัสดีค่ะ
เห็นด้วย!! โดยเฉพาะปริญญาโทล้นเมือง เมืองนอกเมืองนาเค้าไม่เห็นต้องเรียนกันขนาดนี้ เอาเวลาไปทำงานพัฒนาประเทศชาติดีกว่า อิอิ คนไทยบ้าปริญญาจัง