>> ธัมมะ ไม่ใช่ ธรรมชาติ (๒) <<


ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็น และอนุโมทนาบุญกับทุกท่าน

ขออนุญาตตอบรวมกันนะครับ (คำตอบจากขัอคิดเห็นใน ธัมมะ ไม่ใช่ ธรรมชาติ )

ประเด็น ธัมมะ ไม่ใช่ ธรรมชาติ

แต่ ธรรมชาติ ก็คือ ธัมมะ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็คือ ธัมมะ

กุศล ก็คือ ธัมมะ อกุศล ก็คือ ธัมมะ

ถ้า ธัมมะ คือ ธรรมชาติ พระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีความแตกต่างจากศาสดาอื่นใด

แต่เพราะธัมมะ ไม่ใช่ธรรมชาติ นี้หละ จึงทำให้พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ได้โดยพระองค์เอง จากความเพียร ๒๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์ จากการคิด การตั้งจิต การตั้งมั่นในการปฏิบัติจนตรัสรู้ถึงที่สุด

การสั่งสมบารมีข้ามภพข้าม ชาตินี้ ถ้าไม่ได้ตั้งปรารถนาที่จะเป็นพุทธเจ้า บุญบารมีก็ไม่ต้องสั่งสมมาถึง ๒๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์ เพราะลำพังจะไปถึงนิพพานนั้น เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ข้ามพ้นวัฏฏสงสารนี้ไปแล็ว

แต่เพราะพระเมตตาที่พระ พุทธเจ้าทรงมีต่อสัตว์ มนุษย์และเทวดา จึงตั้งความเพียรพาทุกสรรพสัตว์ มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายให้ข้ามพ้นไปด้วย แม้กระทั่ง การที่ผู้ใดได้รู้ธัมม์แล้ว มีความปรารถนาจะตั้งความเพียรเฉกเช่นพระองค์ ก็จะอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าได้ในกาลต่อๆไป เพราะแม้แต่พระสมณโคดมพุทธเจ้านี้ก็ตั้งปรารถนาหลังจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เช่นกัน

พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนหลายภพหลายชาติ

แต่บางลัทธิยึดพระโพธิสัตว์เป็นศาสดาก็มี แม้แต่เทวทัต ก็ยังมีสาวกที่ศรัทธา เพราะโมหจริตนำพา ไปเป็นอวิชชา มีอกุศลจิตที่มีกิเลสฉาบทาปัญญารู้แจ้งจึงไม่เกิดขึ้น

ประเด็น ธัมมะ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า

ในพระไตรปิฎก ในพระสูตร พระคาถา จะมีคำว่า ธัมม์ สารพัดธัมม์ ดั่งเช่นตัวอย่างที่คุณณัฐรดายกมาจากพระพุทธทาส คุณโยธินินยกมาจากพระพรหมคุณาภรณ์ก็เป็นข้อธัมม์บางตอนใน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธ์

ในลัทธิความเชื่ออื่นไม่ใช่ "ธัมมะที่เกิดขึ้นจากการตรัสรู้" มีศาสดาใดที่ตรัสรู้นอกจากพระพุทธเจ้า ทุกลัทธิความเชื่ออื่นจึงไม่มีนิพพาน แต่เมื่อเขาเหล่านั้นสั่งสมบารมีมากพอก็จะได้รู้จักพระพุทธศาสนา ในกาลข้างหน้า ก็อาจไปสู่นิพพาน หรือตั้งปรารถนาบำเพ็ญฌาณบารมีถึงเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้

"คำที่ว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี" นั้นใช่ "แต่ศาสนาพุทธสอนให้เป็นคนดีของทั้งสามโลก"

พระ พุทธเจ้าได้แสดงพระเมตตาธิคุณต่อผู้ที่มีความเชื่อในลัทธิอื่นหรือคำสอนอื่น จนได้รู้จักพระพุทธศาสนา ได้ฟังธัมม์จนได้บำเพ็ญบารมีเป็นพระอริยบุคคลได้ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ ในช่วงที่มีพระชนม์ชีพอยู่ก็มาก

จนเขาเหล่านั้นไปถึงนิพพาน ได้ข้ามพ้นวัฏฏสงสารไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายอีก

คนดีของในทุกลัทธิความเชื่อไปเป็นเทวดาได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่เป็นพุทธศานิกชนแต่ยังเวียนว่ายในกองทุกข์นี้ไม่สิ้นสุด ก็คือจะต้องนำขันธ์ ๕ กลับมาเวียนว่าย มีสุข ทุกข์ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้ตลอดไป ตราบใดที่ยังไม่รู้จักนิพพาน

หมายเลขบันทึก: 430797เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2011 05:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

แม้ธัมมะ ไม่ใช่ ธรรมชาติ

แต่การใฝ่ใจในธรรมะ ไม่ได้ฝืนธรรมชาติ

ครู ป.1 ไม่มีความรู้เรื่องธัมมะ  จึงขอเรียนรู้บ้างค่ะ

ธรรมะ คือ คุณากร เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดี

  • อยากให้คุณศึกษา พระอภิธรรม
  • คุณจะเข้าใจ สัจธรรมสัมพัทธ์(relative) และ สัจธรรมสัมบูรณ์(absolute)
  • แล้วจะพบว่า การใช้ ตรรกะสามัญ(common logic) มากล่าวนั้น
  • มันจะถูกจำกัดด้วย ศักยภาพในการรับรู้
  • เช่น แม้ขอบของเอกภพ เราก็ยัง ทำความเข้าใจด้วย ตรรกะ ไม่ได้
  • เพราะติดในภูมิรู้เรื่อง มิติ (dimention)
  • ถ้าคุณศึกษาทั้งภาคปฏิบัติด้วย ให้ถึงระดับหนึ่ง
  • คุณจะอธิบายคำว่า ธรรมะ, ธรรมชาติ เปลี่ยนไปจากวันนี้
  • เิปิดใจ ให้เวลาตนเองศึกษา อย่าเพิ่งยืนยัน
  • คุณจะไปได้ไกล ในทางธรรมครัับ
  • ด้วยความจริใจ
  • ชยพร   แอคะรัจน์

ต้องขออภัยที่ต้องเข้ามาตอบอีก เพราะปล่อยไว้เห็นทีจะเข้าใจผิดมากยิ่งขึ้น

ถ้า ธัมมะ คือ ธรรมชาติ พระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีความแตกต่างจากศาสดาอื่นใด

แต่ เพราะธัมมะ ไม่ใช่ธรรมชาติ นี้หละ จึงทำให้พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ได้โดยพระองค์เอง จากความเพียร ๒๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์ จากการคิด การตั้งจิต การตั้งมั่นในการปฏิบัติจนตรัสรู้ถึงที่สุด

ถ้า ธัมมะคือธรรมชาติ พระพุทธเจ้าก็ไม่แตกต่างจากศาสดาอื่นใด อันนี้ก็เข้าใจผิดครับ พระ พุทธเจ้าต่างจากศาสดาอื่นตรงที่พระองค์ได้ค้นพบนะครับ สังเกตให้ดีกับคำว่า ค้นพบ พระองค์ไม่ได้บรรญัติคำสอนขึ้นมาใหม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่าธรรมะมีอยู่แล้ว แม้พระองค์ไม่อุบัติมันก็ยังมีอยู่ แต่ศาสดาอื่นจะอ้างพระผู้เป็นเจ้า แล้วศาสดาเป็นผู้นำสารมาจากพระผู้เป็นเจ้าตรงนี้แหละครับที่แตกต่าง

ส่วน เรื่องที่พระองค์ตรัสรู้ คือ อริยสัจ 4 คืออะไรครับ ถ้าย่อก็เหลือเรื่อง ทุกข์และการดับทุกข์ ถามว่าทุกข์นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วหรือว่าพระพุทธองค์ทรงสร้างขึ้นครับ ทุกข์มีอยู่แล้ว เป็นผล ทำให้พระองค์หาเหตุเพื่อแก้ไข เป็นทางที่จะพ้นทุกข์ จึงบำเพ็ญเพียร ทุกขรกิริยา แต่ก็ไม่ใช่ทางออก จึงกลับมาพิจารณาใหม่ ในที่สุดก็ค้นพบทางแห่งการดับทุกข์คือ มรรค 8 ถามว่า มรรค 8 นี่มีอยู่แล้วหรือว่าสร้างขึ้นใหม่

เป็น เรื่องที่มีอยู่แล้ว แต่พระพุทธองค์ทรงเรียบเรียงให้เป็นหมวดหมู่แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ มาชี้แจง แนะนำผู้อื่น ผ่านการปฏิบัติซึ่งพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ

สำหรับ เรื่องการบำเพ็ญเพียรถึงกี่อสงไขยนั้นเป็นเรื่องของไตรปิฎกฉบับอรรถกถา เราไม่ได้เกิดในสมัยนั้นก็ยากที่จะหยั่งรู้ และที่ไม่สนใจก็เพราะมันไม่ใช่ทางที่จะหลุดพ้นได้ มันเป็นอจินไตย มันไม่ใช่วิสัยของปุถุชน ต้องเรียนรู้ด้วยปรมัตถธรรมเท่านั้น เราอย่าไปคิดเพราะคิดไปก็ติดแค่เปือกและกระพี้ไม่ใช่วิถีแห่งความหลุดพ้น

ขออภัยอีกครั้งที่ต้องแสดงความคิดเห็นขัดแย้ง...ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะคุณวิโรจน์

  • คุณยายแวะมาอ่านธรรมะก่อนไปร่วมงานบุญอีก 2 งานค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆที่นำมาเล่าสู่กันฟังนะคะ

ขอขอบคุณทุกความคิดเห็น และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน

ขออนุญาตตอบรวมนะครับ


ธัมมะ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า  ตามคำที่ว่า

 

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

 

สันทิฏฐิโก

เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง

 

อะกาลิโก

เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล

 

เอหิปัสสิโก

เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด

 

โอปะนะยิโก

เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว

 

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วัญญูหิติ

เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.

 

อะไรที่มีนอกจากบทพระธรรมคุณนี้ จึงไม่มีใน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธ์

 

การที่ "ธัมมะ" กับ "ธรรมชาติ" เกี่ยวข้องกันก็คือ

อาศัยปรากฏการณ์ของธรรมชาติมาพิจารณา ว่า

"สรรพสิ่งทั้งหลาย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา"

ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะทำให้กิเลสเข้าครอบงำได้ง่าย ทำให้เกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะทำให้มีหมองหม่น เร่าร้อน เป็นทุกข์

กิเลสคืออาคันตุกะที่มาเยือน และพยายามครอบงำจิตของเราให้ตกอยู่ภายใต้กิเลส ตกไปอยู่ในทางชั่ว ทางต่ำ ถ้าไม่ฝืน ขัดขืนก็จะพ่ายแพ้ต่ออำนาจของกิเลส ได้ง่าย

 

เมื่อมีพระธัมม์คำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" ได้โดยพระองค์เอง นำมาศึกษา ปฏิบัติ และฝึกฝนจิต จนสามารถ รู้แจ้ง

ก็จะสามารถประหารกิเลสได้ จิตก็เกิดปภัสสรผ่องแผ้ว กิเลสก็ไม่สามารถครอบงำจิตให้ตกไปในทางต่ำได้

ธัมมะมีทั้งขั้นศีลธัมม์  และขั้นปรมัตต์

สวัสดีค่ะ

ติดตามอ่านมาทุกบตอนจนถึงตอนจบแล้วค่ะ  แต่วันนี้มาติดตามอ่านเม้นท์แสดงความคิดเห็น  ของเพื่อน ๆ ทำให้เพิ่มขีดความเข้าใจขึ้นอีกมากค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท