แม้ธัมมะ ไม่ใช่ ธรรมชาติ
แต่การใฝ่ใจในธรรมะ ไม่ได้ฝืนธรรมชาติ
ครู ป.1 ไม่มีความรู้เรื่องธัมมะ จึงขอเรียนรู้บ้างค่ะ
ธรรมะ คือ คุณากร เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดี
ต้องขออภัยที่ต้องเข้ามาตอบอีก เพราะปล่อยไว้เห็นทีจะเข้าใจผิดมากยิ่งขึ้น
ถ้า ธัมมะ คือ ธรรมชาติ พระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีความแตกต่างจากศาสดาอื่นใด
แต่ เพราะธัมมะ ไม่ใช่ธรรมชาติ นี้หละ จึงทำให้พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ได้โดยพระองค์เอง จากความเพียร ๒๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์ จากการคิด การตั้งจิต การตั้งมั่นในการปฏิบัติจนตรัสรู้ถึงที่สุด
ถ้า ธัมมะคือธรรมชาติ พระพุทธเจ้าก็ไม่แตกต่างจากศาสดาอื่นใด อันนี้ก็เข้าใจผิดครับ พระ พุทธเจ้าต่างจากศาสดาอื่นตรงที่พระองค์ได้ค้นพบนะครับ สังเกตให้ดีกับคำว่า ค้นพบ พระองค์ไม่ได้บรรญัติคำสอนขึ้นมาใหม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่าธรรมะมีอยู่แล้ว แม้พระองค์ไม่อุบัติมันก็ยังมีอยู่ แต่ศาสดาอื่นจะอ้างพระผู้เป็นเจ้า แล้วศาสดาเป็นผู้นำสารมาจากพระผู้เป็นเจ้าตรงนี้แหละครับที่แตกต่าง
ส่วน เรื่องที่พระองค์ตรัสรู้ คือ อริยสัจ 4 คืออะไรครับ ถ้าย่อก็เหลือเรื่อง ทุกข์และการดับทุกข์ ถามว่าทุกข์นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วหรือว่าพระพุทธองค์ทรงสร้างขึ้นครับ ทุกข์มีอยู่แล้ว เป็นผล ทำให้พระองค์หาเหตุเพื่อแก้ไข เป็นทางที่จะพ้นทุกข์ จึงบำเพ็ญเพียร ทุกขรกิริยา แต่ก็ไม่ใช่ทางออก จึงกลับมาพิจารณาใหม่ ในที่สุดก็ค้นพบทางแห่งการดับทุกข์คือ มรรค 8 ถามว่า มรรค 8 นี่มีอยู่แล้วหรือว่าสร้างขึ้นใหม่
เป็น เรื่องที่มีอยู่แล้ว แต่พระพุทธองค์ทรงเรียบเรียงให้เป็นหมวดหมู่แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ มาชี้แจง แนะนำผู้อื่น ผ่านการปฏิบัติซึ่งพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ
สำหรับ เรื่องการบำเพ็ญเพียรถึงกี่อสงไขยนั้นเป็นเรื่องของไตรปิฎกฉบับอรรถกถา เราไม่ได้เกิดในสมัยนั้นก็ยากที่จะหยั่งรู้ และที่ไม่สนใจก็เพราะมันไม่ใช่ทางที่จะหลุดพ้นได้ มันเป็นอจินไตย มันไม่ใช่วิสัยของปุถุชน ต้องเรียนรู้ด้วยปรมัตถธรรมเท่านั้น เราอย่าไปคิดเพราะคิดไปก็ติดแค่เปือกและกระพี้ไม่ใช่วิถีแห่งความหลุดพ้น
ขออภัยอีกครั้งที่ต้องแสดงความคิดเห็นขัดแย้ง...ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณวิโรจน์
ขอขอบคุณทุกความคิดเห็น และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน
ขออนุญาตตอบรวมนะครับ
ธัมมะ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามคำที่ว่า
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
สันทิฏฐิโก
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อะกาลิโก
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
โอปะนะยิโก
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วัญญูหิติ
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน.
อะไรที่มีนอกจากบทพระธรรมคุณนี้ จึงไม่มีใน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธ์
การที่ "ธัมมะ" กับ "ธรรมชาติ" เกี่ยวข้องกันก็คือ
อาศัยปรากฏการณ์ของธรรมชาติมาพิจารณา ว่า
"สรรพสิ่งทั้งหลาย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา"
ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะทำให้กิเลสเข้าครอบงำได้ง่าย ทำให้เกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะทำให้มีหมองหม่น เร่าร้อน เป็นทุกข์
กิเลสคืออาคันตุกะที่มาเยือน และพยายามครอบงำจิตของเราให้ตกอยู่ภายใต้กิเลส ตกไปอยู่ในทางชั่ว ทางต่ำ ถ้าไม่ฝืน ขัดขืนก็จะพ่ายแพ้ต่ออำนาจของกิเลส ได้ง่าย
เมื่อมีพระธัมม์คำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" ได้โดยพระองค์เอง นำมาศึกษา ปฏิบัติ และฝึกฝนจิต จนสามารถ รู้แจ้ง
ก็จะสามารถประหารกิเลสได้ จิตก็เกิดปภัสสรผ่องแผ้ว กิเลสก็ไม่สามารถครอบงำจิตให้ตกไปในทางต่ำได้
ธัมมะมีทั้งขั้นศีลธัมม์ และขั้นปรมัตต์
สวัสดีค่ะ
ติดตามอ่านมาทุกบตอนจนถึงตอนจบแล้วค่ะ แต่วันนี้มาติดตามอ่านเม้นท์แสดงความคิดเห็น ของเพื่อน ๆ ทำให้เพิ่มขีดความเข้าใจขึ้นอีกมากค่ะ
ขอขอบพระคุณค่ะ
มาเยี่ยม มาชมค่ะ