Salutogenesis ต้นธารแห่งความสุข (2)


เรามีความสุขมากและอยากจะแบ่งปันความสุขให้เธอ”

ถอดเทปการบรรยาย จากอ.ดร.นพ.สกล สิงหะ หัวข้อ Salutogenesis ต้นธารแห่งความสุข ในเวที HA National Forum ครั้งที่ 12 ต่อค่ะ 

ความเป็น Unique ของมนุษย์

เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มี Third word Congress เป็น conference ครั้งที่ 3 เรื่อง Buddhism and science พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ ผมมีโอกาสแปลเอกสารของ professor ชาวอิตาเลียนท่านหนึ่งเรื่อง Genetic determinant and Buddhism พันธุกรรมกำหนดความเป็นมนุษย์” เขาบอกว่ามนุษย์มีความเป็น unigue 5 อย่าง

1.มนุษย์มี killing Instinct

เราเป็น species หนึ่งในสอง species ของโลกนี้เท่านั้น ที่ male group สมาชิกผู้ชายสามารถที่จะ organized เพื่อที่จะฆ่าสัตว์ species เดียวกันได้ ได้แก่มนุษย์และซิมแฟนซี สอง species ในโลกนี้เท่านั้นที่ผู้ชายรวมกลุ่มกันฆ่าสัตว์ species เดียวกันได้ species อื่นๆ อาจจะฆ่าโดยบังเอิญโดยที่ไม่มีการ organized group มนษย์และซิมแฟนซีเป็นสอง species ในโลกนี้เท่านั้นที่ฆ่า species เดียวกันเองได้ แต่เราเจริญเป็นมนุษย์ทุกวันนี้ได้ ทำไมเราต้องมี Killing Instinct เพราะมนุษย์หวงแหนพื้นที่ มนุษย์มีความสามารถในการดูแลสิ่งที่เราต้องการสูงมาก จนแม้กระทั่งการฆ่าอยู่ใน methodology อยู่ในวิธีการของเรา

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะว่าซิมแฟนซี กับมนุษย์เพิ่งแยกกันไม่กี่ปีมานี่เองเมื่อเปรียบเทียบกับ species อื่นๆ มีลิงพันธุ์หนึ่งทีใกล้เคียงมนุษย์และซิมแฟนซีมากคือ ลิงโบโนโบ เป็นลิงที่สุภาพอ่อนโยนที่สุดในโลกนี้ และเป็น species กำลังจะสูญพันธุ์ เพราะชีวิตเขาไม่เคยคิดรุกรานใครเลย เขาจะพึงพอใจในสิ่งที่เขามี หน้าตาน่ารักมาก สุภาพ พูดจาเรียบร้อย ปรากฏว่าโมโนโบ พัฒนาได้แค่นั้น ไม่สามารถพัฒนา high technology ได้เท่าที่มนุษย์มี หรือว่า… มนุษย์ต้องมี killing instinct เพื่อความเป็นมนุษย์ของเรากันแน่

2.มนุษย์มีความรักและการที่เราทนทุกข์เสียสละเพื่อคนอื่น

นอกจากมนุษย์จะมี Killing instinct แต่ก็มีความรักและการเสียสละให้คนอื่น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่กลับกัน เป็นความขัดแย้งอันน่ามหัศจรรย์ ในความเป็นมนุษย์ของเรา ขณะที่เราทำให้พวกเรามีความสุขเองในตัวเองแล้ว มนุษย์มีศักยภาพเหลือเฟือในการที่จะรักคนอื่น ในการที่จะให้ความหมายว่าการทำให้คนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดี

 3. มนุษย์มี Consciousness

มนุษย์เป็นสัตว์ species เดียวในขณะนี้ที่พิสูจน์ได้ว่าเรามี consciousness ในที่นี้ไม่ได้แปลว่ามีสติเฉยๆ มนุษย์สามารถจะรู้ว่า เรากำลังรู้อยู่ know that we know สามารถรู้ว่าเรากำลังรู้สึกอะไร สามารถรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เหมือนกับว่าเราสามารถจะเดินออกจากตัวเราแล้วมองกลับไปที่ร่างนี้ว่า ร่างนี้กำลังเป็นอะไรอยู่ ความสามารถนี้เองทำให้พวกเราสามารถพัฒนาตนเองจากที่เก่าได้ เราสามารถที่จะ criticized ที่จะบอกว่าตอนนี้เราถึงไหนแล้ว เราอยู่ใกล้ในสิ่งที่เราอยากจะเป็นหรือไม่ ซึ่งไม่พบปรากฏการณ์นี้จาก species อื่นๆ

การที่เรา Know that we know, know that we feel เรารู้ว่าเรากำลังเป็น เรารู้ว่าเรารู้สึก เรารู้ว่าเรากำลังทำ นี่คือศักยภาพของมนุษย์ที่ unique คำถามที่ผมอยากจะโยนกลับไปยังพวกเราทุกคนว่า ขณะนี้เรามี awareness หรือ consciousness ตรงนี้มากน้อยขนาดไหน ทุกวันนี้เรารู้ตัวมากน้อยขนาดไหน ขณะนี้เรากำลังเขียน ขณะนี้เรากำลังฟัง ขณะนี้เรากำลังรู้สึก รู้สึกเบื่อ รู้สึกดี รู้สึกอยากจะทำอะไรบางอย่าง เรามี awareness เรามีความรู้ตัวมากน้อยขนาดไหน 

4. มนุษย์มี spirituality

สิ่งนี้อาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในยีนส์ก็ได้ Howard Gardner คนเขียน multiple intelligences คนเขียนเรื่องสหปัญญาต่างๆ มีที่มาที่น่าสนใจ เมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว มีคุณพ่อชาวฝรั่งเศษคนหนึ่ง มาจากนอกเมืองปารีส เขามีลูกหลายคน เขาอยากส่งลูกเรียนในปารีส แต่มีเงินส่งได้คนเดียว จึงเดินทางมาที่กรุงปารีสหา professor Beyer ให้ช่วยหาวิธีที่บอกว่าเขาควรส่งลูกคนไหนมาเรียน คนเดียวที่ส่งแล้วสำเร็จ เพราะมีเงินส่งได้คนเดียว ที่เหลือเอาไว้ทำนา ทำสวนที่บ้าน Professor Beyer ได้คิดค้นวิธีที่เราเรียกต่อมาว่า IQ: Intelligence  Quotient ซึ่งมีสองมิติได้แก่ mathematics logistic คณิตศาสตร์-ตรรกะ และ linguistic ความสามารถในการใช้ภาษา ถ้ามีสองอย่างนี้ดีจะสุดยอด ชีวิตจะประสบความสำเร็จแน่นอน ปัจจุบัน IQ test ยังใช้สองมิตินี้เป็นหลัก IQ test มีผลบูมชัดเจนตอนสงครามโลก ซึ่งต้องแบ่งว่าใครเป็นทหารราบ ใครเป็นทหารเสนาธิการ เรามีการวิเคราะห์ทดสอบกันมากมาย คน IQ สูงจะประสบความสำเร็จ ส่วนคน IQ ต่ำจะไม่สำเร็จเป็น idiot เป็นคนโง่ Howard Gardner รู้สึกไม่พอใจ คิดว่าท่าทางไม่น่าเป็นแบบนั้น เขาพบว่าความฉลาดมีมิติอื่นๆ ด้วย

พวกเรารู้จักเดวิด เบคแฮมไหม เขาเป็น star idol ของนักฟุตบอล เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ได้แต่งงานกับนักร้องดัง แต่งงานที่ปราสาทราชวัง ที่ Iris มีเงินรายได้อาทิตย์ละแสนห้าหมื่นปอนด์ มีลูกน่ารักสามคน แต่เขาเป็น mild dyslexia เขาเกิดที่ลอนดอน เป็นคนพูดจาแปลกๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ความสามารถอย่างเดียวที่เดวิด เบคแฮม มี คือขณะที่เขาวิ่งอยู่ด้วยความเร็ว 15-20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาสามารถส่งบอลจากเท้าเขาไปตรงไหนก็ได้ในระยะ 30 หลาข้างหน้าตามที่เขาต้องการ เป็นทักษะที่ไม่เกี่ยวกับ mathematics และไม่เกี่ยวกับ linguistic ด้วย เขาพูดกับคนแทบจะไม่รู้เรื่อง แต่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสิ้นเชิง

Intelligence for Existential

Howard Gardner จึงคิดว่าความฉลาดจะมีมากกว่านั้น จึงคิดออกมาเป็นความฉลาด 8 - 9 อย่าง จะมีเรื่องของ sport, music, intrapersonal interpersonal ฯลฯ โดย criteria หนึ่งคือว่าทุกๆทักษะจะมีส่วนของสมองที่รับผิดชอบอยู่ จนกระทั่งมาถึงความฉลาดที่ 9 ที่ Howard Gardner ยังติดอยู่ นั่นคือ Intelligence for Existential  ความฉลาดสำหรับ big question สำหรับคำถามที่ถามว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร” พูดง่ายๆ คือ spirituality นั่นเอง ที่ไม่สามารถจัดเป็น Intelligence ได้เพราะว่าเขาพบว่าสมองที่รับผิดชอบส่วนนี้ สมองที่รับผิดชอบว่าเราคืออะไร เกิดมาทำไมและเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ได้มีแค่เพียงส่วนเดียว แต่ใช้มาจากทุกส่วน การค้นพบนี้ทำให้ Intelligence for spirituality  ของ Howard Gardner ติดอยู่ครึ่งหนึ่งไม่ครบ criteria แต่น่าจะเป็นการ break through การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ เป็นการแปลว่า ...หรือว่า spirituality ของคนต้องใช้ความเป็นองค์รวม ต้องใช้ศักยภาพทุกอย่างอย่างเต็มที่ของคนเท่านั้น ถึงจะสัมผัสกับเรื่องเหล่านี้ได้  ดังนั้น spirituality ต้องมาจากความจำ มาจากประสบการณ์ตรง มาจาก limbic system ซึ่งแสดงถึงเรื่องอารมณ์ มาจาก brain stem ซึ่งแสดงถึงเรื่องการอยู่รอด ทั้งหมดรวมกันถึงจะเป็น spirituality เรื่องจิตวิญญาณของแต่ละคนและมนุษย์มีศักยภาพนี้

5. มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นสุดจะจินตนาการ

มนุษย์อยากจะรู้ไปหมด อยากจะเข้าใจ อยากจะมีปัญญา สัตว์อื่นๆ จะพึงพอใจในสิ่งที่เขามี แต่มนุษย์อยากจะรู้ไปหมดว่าทำไมเราเกิดมา ต่อไปโลกแตกจะเป็นอย่างไรบ้าง เหล่านี้นี่คืออัตลักษณ์ของความเป็นมนุษย์

ศักยภาพของมนุษย์

คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเรามีศักยภาพต่างๆ เหล่านี้แล้วเราใช้ไปกี่เปอร์เซนต์ เราอยู่กับมันและเราใช้ของต่างๆ ที่เรามีไปแล้วหรือยัง

นี่คือภาพลิงโบโนโบ นี่คือลูกลิงโบโนโบ หน้าตาน่ารัก ตาใส ยิ้มเล็กน้อย หูกาง พวกเราห่างไกลจากลิงโบโนโบมาเยอะ ลิงโบโนโบเป็นลิงที่ใกล้เคียงมนุษย์มาก เพิ่งแยก Species จากเราไม่นานมานี่เอง

บางทีถ้าเราใช้ศักยภาพของเราทั้งหมด ถึงแม้ว้าเราอาจจะไม่มีเหมือนลิงโบโนโบก็ตาม เราอาจเป็นมนุษย์อย่างที่เรา suppose ว่าควรจะเป็นแล้วก็ได้

 

 

เมื่อสักครู่เป็นการร้องเพลงโดยกลุ่มนักร้องจากโรงเรียนคนหูหนวก เด็กพวกนี้ที่ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงเป็นคนหูหนวกแล้วเขาร้องเพลงให้ฟัง คนหูหนวกร้องเพลงได้อย่างไร เขาไม่เคยได้ยินเสียงอะไรมาก่อนในชีวิตนี้เลย เขาร้องเพลงได้ไหม ที่จริงก็คล้ายๆกับที่เราพูด ก็เปล่งเสียงออกมา เพียงแต่ว่าคนที่หูหนวกแต่กำเนิดเขาไม่รู้เลยว่าเสียงที่เขาเปล่งออกมาเป็นเสียงอะไร เขาถึงพูดออกมาไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีเสียง คนหูหนวกที่บอกว่าเป็นใบ้ จริงๆไม่เชิงเป็นใบ้แต่เขาไม่สามารถพูดเป็นคำๆ ที่เราเข้าใจได้ เวลาที่เขาหัดร้องเพลง เขาทำอย่างไร คล้ายๆที่เราหัดพูดภาษาไทย ภาษาไทยมีการเปล่งเสียงจากช่องปาก แบ่งเป็นห้าวรรค กะ ขะ คะ ฅะ งะ จากคอ จะ ฉะ ชะ ฌะ ยะ จากเพดานอ่อน ฏะ ฐะ ฑะ ทะ ฒะ นะ เพดานแข็ง ปะ ผะ พะ ภะ มะ จากริมฝีปาก และเศษวรรค เวลานักเรียนพวกนี้จะร้องเพลง เขาพยายามจะเลียนเสียงที่เปล่งเสียงจากอวัยวะในช่องปาก แล้วใส่วรรณยุกต์คือเสียงดนตรีเข้าไป ว่าคำนี้ต้องเปล่งเสียงอย่างนี้ แล้วเขาร้องให้เราฟัง ถ้าพวกเราฟังด้วยหูแห่งการตัดสิน เราก็อาจจะรู้สึกว่าเด็กพวกนี้ร้องไม่เป็นเพลง เพลงอะไรก็ไม่รู้ คำยังไม่เป็นคำด้วยซ้ำไป แต่ที่จริงแล้วเราร้องเพลงตอนไหน คนธรรมดาร้องเพลงตอนไหน คนธรรมดาร้องเพลงตอนมีความสุขใช่ไหม เราร้องเพลงให้คนอื่นฟังนั้นหมายความว่าอย่างไร “เรามีความสุขมากและอยากจะแบ่งปันความสุขให้เธอ

สมัยหนึ่ง การร้องเพลงไม่ใช่เป็นการประกวด การร้องเพลงไม่ได้เป็นการร้องให้ตัวเองว่าฉันร้องเก่งขนาดไหนเพื่อที่จะเป็นอาชีพ สมัยก่อนคนเราร้องเพลงเพราะเรามีความสุข สมัยก่อนคนเราร้องเพลงให้คนอื่นฟังเพราะอยากแบ่งปันความสุขนี้ให้แก่คนรอบๆ ข้าง เมื่อเราฟังจนถึง intension เมื่อถึงเจตนารมณ์ เราถึงจะได้ยินเสียงเพลงที่แท้จริง การที่เราจะได้ยินเสียงเพลงที่อยากจะดึงเป็นของตัวเอง อยากจะให้เราไปชมว่าฉันร้องเก่งขนาดไหน อยากจะให้ไปชมว่าฉันทำได้ดีตามมาตรฐานขนาดไหนในการร้องเพลง เราไปฟังว่าเขามีความสุขและเขาอยากจะมอบให้กับเรา เราควรฟังด้วยอะไรบ้าง 

 ในคลิปนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่า มีนักเรียนคนหนึ่ง เป็นนักเรียนโรงเรียนดนตรี เขาฟังจนกระทั่งได้ยินเพลงที่นักเรียนกลุ่มนี้ร้องให้ฟัง เมื่อไรก็ตามที่เราได้ยินความสุขที่คนอื่นมอบให้ สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ก็คือเราต้องร้องเพลงไปกับเขาด้วย ในที่สุดเราจะร้องไปกับเขา เราจะ dance เราก็จะเต้นรำไปกับเขา เมื่อนั้น Harmony หรือสมดุล สัปปายะ ต่างๆ มันถึงเกิดขึ้นมา

หมายเลขบันทึก: 434274เขียนเมื่อ 5 เมษายน 2011 22:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • ขำพี่ชูศรีกับคุณ capuchino 555
  • ขอบคุณที่เอามาให้อ่าน
  • หายไปนานเลยครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท