สวรรค์ของผู้ให้ .. ที่ฉือจี้


“เป็นคน ต้องยืดหยุ่น... เจตนาต้องซื่อตรง”

นับว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่๒ แล้วที่แม่ต้อยได้มีโอกาสร่วมกับ คณะแพทย์ พยาบาล และผู้บริหารไปร่วมศึกษาดูงานกับมูลนิธิฉือจี้ที่ประเทศไต้หวัน ในระหว่างช่วงวันหยุดยาว ๑๓ –๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔  นี้

ครั้งแรกนั้นแม่ต้อยจำได้ว่า ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานในช่วงปีพศ ๒๕๔๙ ร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจำนวน ๖ แห่ง พร้อมๆกับผู้เยี่ยมสำรวจจากสถาบัน ในช่วงนั้นคนไทยที่ไปดุงานมีจำนวนค่อนข้างน้อยมาก

จำได้ว่า เมื่อกลับมา แม่ต้อยได้เสนอสรพ. เริ่มนำแนวคิดของการผสมผสานมิติจิตใจ หรือความเมตตา กรุณาผสมผสานบูรณาการในการทำงานคุณภาพ โดยมีโรงพยาบาล จำนวน ๖ แห่งที่ร่วมเดินทางในครั้งนั้น  อันได้แก่ โรงพยาบาล เสาไห้ โรงพยาบาล ตาคลี รพ.บ้านเหลื่อม รพ. เขาวง และรพ. ละงู เป็นผู้นำร่องทดลองใช้แนวคิดนี้  และเป้นที่มาของรางวัล Humanized Health Care ในระดับต่างๆมาจนเท่าทุกวันนี้

 

และเมื่อนำแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นได้จริงมาตกผลึกความคิด จนพัฒนามาเป็นโครงการ “ การสร้างเสริมสุขภาพผ่านกระบวนการคุรภาพสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน “ หรือ SHA ( Spirituality Hospital Accreditation by Appreciation )  แล้ว ในช่วงสัปดาห์นี้เอง แม่ต้อยก็ได้มีโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่ได้กลับมาสัมผัสพลังแห่งความดี งาม ความเมตตากรุณา ที่จะทำให้พลังการทำงานของตัวเราเองแข็งแกร่งขึ้น

ในความรู้สึกของแม่ต้อยเอง คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉือจี้ดำเนินไปอย่างคงเส้นคงวา มีกิจกรรม ที่หล่อเลี้ยงและสร้างศรัทธาให้คนอยากทำความดี เพื่อคนอื่น อย่างต่อเนื่อง 

ที่ฉือจี้จะมีวาทธรรม ของท่านธรรมาจารย์ เจิ้งเหวี่ยน มากมาย ที่ทำให้เราได้คิด และนำมาปฏิบัติได้อย่างง่ายๆ ได้ผลดี

“ คุณพูดในสิ่งที่คุณพูด  เราจะทำในสิ่งที่เราทำ “

ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหวียน ที่ได้ก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้นี้  ท่านเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆบอบบาง ใบหน้ามีความเมตตา กรุณา ปัจจุบันท่านมีอายุมากแล้ว ประมาณ ๗๐ กว่าปี

ท่านเป็นคนจีนที่อาศัยทางตอนกลางของประเทศไต้หวันมื่อท่านอายุได้ ๒๓ ปี บิดาท่านเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมองแตก ยังความเศร้าเสียใจมากมาย ท่านได้เข้าศึกษาธรรมะที่วัดต่างๆ และตัดสินในบวชเป็นภิกษุณี เมื่อท่านอายุได้เพียง๒๕ปี

ท่านมีปณิธาน เป็นคำ ๖ คำคือ “ เพื่อพุทธศาสตร์  เพื่อสรรพสัตว์”

เริ่มต้นจากการสงเคราะหืผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยมีกลุ่มแม่บ้านที่มาร่วมช่วยกันโดยการออมค่ากับข้าวในแต่ละวัน วันละ ๕๐ สตางค์ ( เงินไต้หวัน และเงินไทยมีอัตราใกล้เคียงกัน) โดยการออมในกระบอกไม้ไผ่  ในปัจจุบันนี้ยังเก็บไว้ที่มูลนิธิ

นับว่าฉือจี้นี้ รากฐานมาจากผู้หญิงในระยะเริ่มแรกโดยแท้จริง

ท่านให้วาทธรรมว่า

“ หากเราต้องรอให้พร้อมแล้วจึงค่อยทำ ก้ไม่ทราบว่าจะต้องรออีกนานเท่าไหร่ “

เมื่อเริ่มจากคนยากคนจน ที่มีจำนวนมากขึ้นทุกๆวัน ก็กลายเป็น คนเจ็บป่วย ที่มาขอความช่วยเหลือ

ในปีคศ ๑๙๘๖  ท่านธรรมาจารย์จึงมีความคิดที่จะตั้งโรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์คนป่วยเหล่านี้

แม่บ้านที่เป็นลูกศิษย์ท่านธรรมาจารย์เล่าให้ฟังว่า

“ เมื่อท่านบอก พวกเราก็คิดว่ามันเป็นไปได้อย่างไร  แต่ตอนนั้นคิดว่าคงเป็นคลินิคเล็กๆเท่านั้น “

แต่เมื่อการก่อสร้างโรงพยาบาลที่มันสมัย แล้วเสร็จ กลุ่มแม่บ้านเหล่านั้นถึงกับกอดเสาแต่ละต้นแล้วร้องไห้ ด้วยความ ติ้นตันใจ

ตอนเริ่มแรกนักธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ล้วนแต็จะบอกว่า “ เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ?” ท่านจะใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะทำได้

แต่ท่านธรรมาจารย์บอกว่า “ เราต้องก้าวเดินอย่างหนักแน่น  เชื่อมั่น และจริงใจ “ พร้อมชักนำผู้คนด้วยเป้าหลอมแห่งความรัก และ ด้วยหลักของพรหมวิหารทั้ง๔ คือ  เมตตา กรุณา  เมตตา มุทิตา และอุเบกขา

เพียงแค่ขอให้ทุกคนตั้งปณิธานในการร่วมออมเงินคนละ ๑ บาท เพื่อช่วยคนอื่น  ก็สามารถสร้างโรงพยาบาลศาสนาพุทธ ได้ เป็นโรงพยาบาลแห่งความรักโดยแท้

เมื่อมีรพ.ขนาด ๑๐๐ เตียง ก็มีความคิดว่าจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ ที่จะมาทำหน้าที่นี้ด้วย  จึงมีการก่อสร้างมหาวิทยาลัยที่มีผู้เรียนในสาขาวิชาต่างๆ เช่นคณะแพทย์ศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะการจัดการทางการแพทย์  คณะวิศวกรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยเหล่านี้จะถูกสอดแทรกในเรื่องของการเป็นคนดี การช่วยเหลือคนอื่นอย่างมีเมตตา การมีความกตัญญูต่อผุ้คน  ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อ ธรรมชาติด้วยความเคารพ

ใช้หลักของการมีจริยธรรรมทุกด้านในการดำรงชีวิตและการทำงาน สร้างพลังในเชิงบวก และชื่นชมคนทำความดี

หลักคิดง่ายๆคือ “ ไม่ควรทิ้งทรัพยากรที่ดีดี แม้เพียงซีกเดียว”

ดังนั้นการไปดูงานเราจึงเห้นกลุ่มอาสาสมัครมานั่งแยกขยะที่ทิ้งแล้ว พยายามใช้ความเพียรในการตัดมุมกระดาษที่ดีดี ไม่เปื้อน นำไปรวบรวมเพื่อre- cycle   อีกครั้งหนึ่ง

กระดาษที่recycle นี้จำนวน ๕๐ กิโลกรัม  สามารถนำมาทดแทนการตัดต้นไม้ที่มีอายุ ๒๐ ปีได้ ๑ ต้นเลยทีเดียว นับว่าป็นการใช้ความวิริยะ ความอดทนในการช่วยเหลือะรรมชาติได้ดียิ่ง

หากเราได้มีโอกาสได้เห็นภาพการตัดต้นไม้ในป่า ที่ใช้เครื่องจักร ถอนรากถอนโคน เลื่อยต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า ๒๐ ปี  เขาใช้เวลาในการทำลายเพียงไม่ถึง ๒๐ วินาทีเท่านั้นเอง

“ แม้พวกเราจะเหนื่อย แต่เราต้องทำเพื่อลูกหลาน ให้ได้อยุ่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี “

การรักษาสิ่งแวดล้อม อีกด้านหนึ่งคือการเริ่มที่ต้นตอ การกินอาหารเจ เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยอนุรักษ์พลังงาน ลดคาร์บอนดิ์ได้

ภาพที่แสดงให้เห็นว่าคาร์บอนดิ์ไดออกไซดิ์ จากสัตว์ที่นำมาปรุงอาหารนั้นอาจจะมีมากกว่า คาร์บอนดิ์ไดออกไซดิ์ จากรถยนตร์ หรือรถไฟ

การไม่ใช้เครื่องยนตร์ อย่างฟุ่มเฟือย การใช้น้ำอย่างประหยัด ชาวฉือจี้ทุกคนจะมีชุดอาหารเป็นของตนเอง ไม่เบียดเบียนให้คนอื่นมาล้างแก้วที่เราเองเป็นคนดื่ม

การกระทำทุกอย่างด้วยหลักด้านคือ  ด้วยจิตใจ กลับมาสู่ครอบครัว และทำเพื่อแผ่นดิน และเป้นการขจัดขยะในจิตใจของเราเอง

“ ไม่แน่ใจว่าใครจะได้ยิน  หรือเข้าใจ “ แต่คนคล้ายมดตัวเล็กๆ เมื่อรวมตัวกันจะเกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ตามมา

สถานี” ต้าอ้าย” หรือสถานีเพื่อถ่ายทอด สิ่งที่ดีงาม ถ่ายทอดความรักอันยิ่งใหญ่  แม่ต้อยว่าเป็นระบบการสื่อสารที่กระตุ้นให้คนมีส่วนร่วม เป็นสถานีโทรทัศน์ที่หล่อหลอมให้ผู้ชมทำแต่ความดีและเกิดเกิดแรงบันดาลใจเข้ามาร่วมเป็น อาสาสมัครที่เกิดจากก้นบึ้งของจิตใจมากมาย

อาสาสมัครที่นี่จึงมีมากมายหลายอาชีพ นักธุรกิจ นายธนาคาร ทุกคนมุ่งหวังที่จะมีโอกาส พัฒนาจิตใจ ของตนเองให้งามราวกับแสงเทียน เพื่อส่องสว่างจิตใจตนเองและผุ้อื่น

“ เราปรับความคิดเพียงนิดเดียว เราจะก้าวผ่านได้”

อาสาสมัครที่นี่จึงเกิดความปิติมากนัก เมื่อมีโอกาสได้มอบของให้คนอื่น  ผู้ที่มีโอกาสได้” ให้” ผู้อื่น คือคนที่มีโอกาสยกระดับจิตใจ มีโอกาสเข้าสู่การเป็นพระโพธิสัตว์ ที่มีจิตใจพร้อมด้วยพรหมวิหารทั้ง๔ และมีมหากรุณาธิคุณต่อเพื่อนร่วมโลก

การโค้งคำนับผู้ที่มารับของจากมือ  จึงเป็นการคำนับด้วยจิตใจที่สูงแม้กายจะอ่อนน้อม

และเพื่อเป็นการปลูกฝังเมล็ดพันธ์แห่งความดี ตั้งแต่เด้กๆ มูลนิฉือจี้ จึงสนับสนุนการสร้างโรงเรียน ทั้งระดับประถม และมัธยม หล่อเลี้ยง เยาวชนให้มีความรู้คู่คุณธรรมอย่างแท้จริง

ระบบอาสาสมัครที่นี่ มิใช่เป็นเพียงการ อาสาสมัครเข้ามาช่วยเหลืองานในโรงพยาบาล หรืองานอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม เท่านั้น  แต่ยังมีอาสาสมัคร พ่อแม่บุญธรรม สำหรับเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับ ประถม มัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นผุ้ให้คำปรึกษาในแง่มุมต่างๆ หรือทักษะที่จำเป็น เด็กๆ เหล่านี้จึงถูกปลุกฝังให้มีความเชื่อ เคารพ และกตัญญูรู้คุณ มีสัมพันธภาพที่ดี

แม่ต้อยเอง ได้มีโอกาสมาศึกษาดูงานที่มูลนิธิ ฉือจี้นี้สองครั้ง นับว่ามีบุญวาสนา ที่มีโอกาสได้เข้าพบสนทนากับท่านธรรมาจารย์ ทั้งสองครั้ง

เมื่อท่านทราบว่าเราเป้นคณะแพทย์ พยาบาลที่มาจากโรงพยาบาล  ท่านก็บอกว่า

“ มนุษย์นั้น สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดของเขา คือการได้มีชีวิตที่มีสุขภาวะ และการอดพ้นจากความทุกข์ทรมาน ท่านนั้นโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานที่มีคุณค่า”

“ เราต้องเพรียบพร้อมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”  สิ่งเหล่านี้ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดแล้ว ขอให้เราพยายามมีสติระลึกรู้และนำสิ่งเหล่านี้ออกมาทำงานโดยเฉพาะกับผู้ป่วย ให้มากๆ”

“ เขาบาดเจ็บ  แต่เจ็บปวดที่เรา เจ็บปวดที่ใจของเรา”

“ รอยยิ้มที่งดงามคือรอยยิ้มของผู้ป่วย”

ท่านธรรมาจารย์ในวัย ๗๐ กว่า ยังดูสง่า งดงาม ผ่องใส ใบหน้าอันอิ่มเอิบมีความเมตตา เมื่อท่านทราบว่าคุณหมอท่านหนึ่งในกลุ่มของเรา กินอาหารเจ เพียงเดือนละ ๑ วัน ท่านยกมือขึ้นไหว้แสดงอนุโมทนา

“ ขออนุโมทนาในจิตใจที่เป็นกุศล แต่ขอเชิญชวนให้ท่านลองทานเจให้มากขึ้น”

แม้จะไปสักกี่ครั้งทุกๆครั้งก้ได้เรียนรู้วิธีคิด ได้เรียนรู้ความดอทน การทำงานที่เอาชนะอุปสรรคด้วยปัญญา และความดีของท่าน

ท่านได้ให้วาทธรรมที่แม่ต้อยชอบมากๆว่า

“สรรพสิ่งในโลกนี้อยู่ร่วมกันได้  สรรพสิ่งในโลกนี้ มีคุณค่าเท่ากัน”

“เป็นคน ต้องยืดหยุ่น...  เจตนาต้องซื่อตรง”

วันนี้แม่ต้อยขอเล่าเรื่อง ความดีงามเหล่านี้ และคิดว่าพลังด้านดี หรือสิ่งที่ดีดี ในตัวท่านผู้อ่านทุกท่านคงจะเปล่งประกาย พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามกับเพื่อนของเราทุกๆคนนะคะ

สวัสดีคะ

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ฉือจี้
หมายเลขบันทึก: 440143เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2011 14:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

แม่ต้อยชอบบริบทของงาน SHA ครับ ที่ศึกษาอย่างต่อเนื่อง เคยไปจัดกิจกรรมให้โรงเรียนในเครือข่ายของมูลนิธิฉือจี้ ด้วยครับ โรงเรียนนี้

http://www.gotoknow.org/blog/wiwat006/321555

ชื่อโรงเรียนบ้านหนองตาบ่งครับ

 

Ico48

สวัสดีคะ อาจารย์ ขจิต

ต้องชื่นชมท่านผอ.นะคะ น่าสนใจว่าจะเสริมกิจกรรมให้กับเด็กนักเรียนอย่างไรคะ

อยากไปเยี่ยมท่านจังเลยคะ

 

สวัสดีค่ะแม่ต้อย...

ชอบจังค่ะ วาทะธรรมที่ว่า....

“สรรพสิ่งในโลกนี้อยู่ร่วมกันได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ มีคุณค่าเท่ากัน”

“เป็นคน ต้องยืดหยุ่น... เจตนาต้องซื่อตรง”

แม่ต้อยคะ

ได้ยิน ได้ฟังเรื่องดีดี จากแม่ต้อยเสมอ

คิดถึงแม่ต้อยค่ะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์ อ่านแล้วมีความสุข เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำงานเพื่อแบ่งปันความสุขต่อไปค่ะ

สวัสดีค่ะ

ความดีงามเหล่านี้ และคิดว่าพลังด้านดี หรือสิ่งที่ดีดี ในตัวท่านผู้อ่านทุกท่านคงจะเปล่งประกาย พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามกับเพื่อนของเราทุกๆคนนะคะ

เห็นด้วยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท