ผมได้แรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้ จากการฟังครูใหม่ (วิมลศรี ศุษิลวรณ์) นำเสนอการตีความ บทที่ ๑๘ ของหนังสือ Appreciative Inquiry โดยมีชื่อบทว่า From Deficit Discourse to Vocabularies of Hope : The Power of Appreciation
มองในมุมหนึ่ง การจัดการความรู้คือการจัดการความหวัง การจัดการความหวังคือการตั้งเป้า หรือกำหนดปณิธานความมุ่งมั่น (purpose) ร่วมกัน หรือการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกัน (shared vision)
หนังสือดังกล่าว ระบุพื้นฐาน ๔ ประการของความหวัง
๑. ความสัมพันธ์ ในฐานะพื้นฐานของความหวัง ความสัมพันธ์ที่ก่อความหวังได้แก่
- ความรัก เอื้ออาทร และเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
- ความเห็นแก่ผู้อื่น มากกว่าตนเอง
- ความเป็นชุมชน ความรู้สึกปลอดภัย มีความเชื่อ และค่านิยมเดียวกัน
๒. บรรยากาศเชิงสร้างสรรค์ ที่เปิดให้ผู้คนมีจินตนาการ และมองเห็นช่องทางที่เปิดกว้างในอนาคต
๓. มิติเชิงศีลธรรม ที่ทำให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ต่อกันในระดับที่ลึกไปถึงจิตวิญญาณ หรือใจถึงใจ
๔. มิติเชิงก่อเกิด (Generativity) ความหวังทำให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นำไปสู่การกระทำ และผลเชิงบวก
ที่จริงการจัดการความหวัง ก็คือ AI - Appreciative Inquiry หรือการใช้ทักษะ และวิธีการเชิงบวก ในการสร้างฝัน หรือตั้งความหวัง และทักษะในเชิงชื่นชมยินดีต่อความสำเร็จเล็กๆ ให้ก่อตัวกันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ นั่นเอง
ความหวังมีพลังลี้ลับ ผมเคยประสบด้วยตนเอง ที่ผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัสทั่วตัว จากอุบัติเหตุรถยนต์ ที่ไม่น่ารอด กลับรอดอย่างปาฏิหาริย์ และกลับมามีร่างกายและสมองสมบูรณ์เหมือนเดิม ผมถามเธอว่าระหว่างที่รู้สึกตัวครึ่งไม่รู้สึกตัวครึ่งเธอรู้สึกอย่างไร เธอบอกว่าเธอบอกตัวเองว่าชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอต้องต่อสู้อย่างที่สุดเพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพราะลูกยังเล็ก เธอบอกตัวเองอย่างนี้ตลอดเวลา และเธอเชื่อว่าตนเองจะต้องรอดชีวิต นี่คือตัวอย่างหนึ่งของพลังลี้ลับแห่งความหวัง
ผมเชื่อว่า ในการทำงานที่ยากและซับซ้อน การมีความหวังก็จะทำให้เกิดพลัง ยิ่งเป็นความหวังร่วมกันของคนจำนวนมาก ก็ยิ่งมีพลังมาก
วิจารณ์ พานิช
๒ สค. ๔๙
ดิฉันจะใช้มากในการทำงานที่ยากๆคือสั่งตัวเองว่าเดี๋ยวก็ทำได้และไม่ท้อแท้ คล้ายๆกับการสร้างฉันทะและวิริยะในศาสนาพุทธค่ะ