ปฎิบัติการพิเศษ ณ อินเดีย ตอนต้นเกมเมาแต่พารากับทิฟฟี่


ปฎิบัติการพิเศษ ณ อินเดีย ตอนต้นเกมเมาแต่พารากับทิฟฟี่

   ในความเป็นจริงแมวซ่าส์โคตะระ เหนื่อยเลยแต่ก็จะพยายามมาเขียนอะไรแบบบวมๆไปเรื่อยตามแต่กำลังใจมี ยิ่งบันทึกที่แล้วโดนโจมตีไปใหญ่เลยว่าไปกล่าวพาดพิงบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหายไม่ได้กล่าวพาดพิงบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหายเรากล่าวความเป็นจริง

   ทีนี้เลยจะมาเล่าต่อพอลงจากเครื่องบินประมาณเที่ยงตรงที่อินเดียเราก็ไปรอรับกระเป๋าด้วยความไม่สบายในกายที่มีอยู่จึงไม่สุงสิงกับใครกลัวเขาติดไปด้วยและรำคาญตนเองยิ่งปวดหัวด้วยหน้าบูดไปกันใหญ่ มีคนเดินมาทักว่าทำไมไม่ไปสมาคมกับเขามายืนคนเดียวทำไม(นึกในใจไม่รู้ไงว่าไม่สบายจะมีอารมณ์ไปคุยกับใครอยากแต่จะพัก)พอได้กระเป๋ากันเสร็จเดินไปที่รถนั่งลงแล้วได้รับน้ำขวดแรกสิ่งที่แมวซ่าส์ขว้ามาก่อน ทิฟฟี่แพงสีเขียว สองเม็ดลงคอเลยทั้งๆที่ก่อนขึ้นเครื่องก็ พารา มาสองเม็ดแล้วแต่ความร้อนในร่างกายไม่คลายลงแถมปวดหัวอีกต่างหากรถก็เดินทางมุ่งหน้าไปนาลันทา ก็มีพิธีกรในขณะมาพูดนั่นพูดนี่แต่ไม่เข้าหูแมวบ้าตัวนี้เท่าไรแต่อดเอายิ่งไม่สบายอยู่

   รถก็เดินทางไปเลื่อยอาการใข้ก็เย็นลงบ้างเล็กน้อยพอรถจอดให้ลงไปห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งแรกดันลืมถือร่มลงไปด้ยทั้งๆที่ฝนรินลืมตัวว่าตัวเองเป็นปกติแถมลงไปปลดทุกเสร็จจะกลับก็กลับไม่ได้ดันมีผู้หญิงมาปลดทุกข์ขวางทางจะกลับก็กลัวเห็นของดีเขาเลยได้ยืนตากฝน แล้วจึงได้ขึ้นรถพอขึ้นรถนั่งได้สักพักยาหมดสภาพตัวร้อนอีกแล้ว ตามด้วยพาราอีกสองเม็ด แถมวันนี้รถเลทเวลาอีกช้ากว่ากำหนดการพอตกค่ำหลับสิกงีบแอร์เริ่มเย็นทีนี้คนไม่สบายก็หนาวสิครับนอนขดอย่างกับลูกหมาในที่นั่งสองคนในรถบัสทำได้ไงวะโชคดีตัวเล็ก แถมพอรู้สึกตัวขึ้นมากระดิกตัวแถบไม่ได้ รู้สึกว่าซีกซ้ายร่างกายมีแต่น้ำแอร์กับน้ำฝนที่มันรั่วมาใส่จนเปียกไปครึ่งตัว เป็นไงละครับเป็นไข้,แอร์เย็น,เปียกอีก, = ไข้ขึ้นอีกครับ ควาวนี้ทิฟฟี่อีกสองเม็ดครับเบ็ดเสร็จวันแรกของการเดินทางฟาดไปแปดเม็ดจะไม่เมาได้ไงครับ กว่าจะถึงที่พักเที่ยงคืนใครกินอะไรกินไปเลยอั๊วจะนอนเข้าห้องได้นอนเลยหรับสนิทไม่สนใจเลยว่าใครจะโสเหร่เรื่องไรกัน

   วันแรกก็โคตะระยาวแล้ววันที่สองตื่นเช้าประมาณตี่สี่ได้แต่ลุกไม่ขึ้นจนประมาณตีห้ากั้นหายใจไปอาบน้ำเพื่อมันจะดีขึ้นไม่เลยครับพอหกโมงกินข้าวเช้าวันแรกนี้ข้าวพัดครับโคตะระมันและหวานคนเป็นไข้ใครมันจะเอาลงคอได้วะได้ประมาณสองคำนี่แหละคำที่สามไม่ลงครับแต่หันไปมองคนอื่นๆชั่งมีความสุขในการทานอาหารมื้อแรกที่อินเดียแถมโสเหร่กันอย่างได้อรรถรถ (คิดในใจทุกข์ใครทุกข์มันวะแค่นี้ไม่ตายวะอดไม่กินสี่ห้าวันยังทำแค่นี้ไม่เกินใจกูหรอก) แถมพอจะขึ้นรถเข้าห้องน้ำมันยังจะสำรอกออกมาอีกเลยเอามือปิดไว้แล้วกืนเข้าไปเพราะว่าต้องมีอะไรบ้างพอเป็นกำลังเพราะยังตายไม่ได้มีภารกิจอีกมากทั้งดีและไม่ดี วันนี้ก็ไปหลายที่แต่พอลงไปก็ไม่ได้อะไรเท่าไรหรอกเดินดูไปงั้นคนไม่สบายจะมีอารมณ์ไรแค่ไม่อยากเสียเที่ยวฟรี

    แต่วันนี้มีปาฎิหารครับตอนเดินขึ้นเขาคิชกูฎไม่รู้เอาแรงมาจากไหนเดินขึ้นถึงเป็นคนแรกแต่พอมาจับดูหลังเปียกอย่างกับอาบน้ำใหม่พอลงมาก็นั่งรอในรถรู้สึกร่างกายดีขึ้นแล้วก็กลับเข้าที่พักวันนี้ก็มีกำลังก็เลยพยายมออกกำลังกายมากให้เหงื่อออกพอเข้าห้องพักสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเจอจากสามทหารเสือสีส้มจากถ้ำฤษีนั้นคือการโสเหร่แต่เรื่องว่าคอมพ์ไม่เอามาโทรศัพท์ต้องซื้อซิม ซิมซื้อแล้วใช้ไม่ได้ยุ่งนั่นยุ่งนี้บ่นว่าร้อนห้องมีแต่ฝุ่น เราก็ไม่สนใจครับตามทางเรานอนนิ่ง เข้า-ออก , พุทธ-โธ หลับครับตื่นมารู้สึกดีมาเล็กน้อยเหลืออาการประมาณว่าจะหายแต่ใข้ยังเรียกว่าใงเหมือนยังทรงอยู่วันนี้ยาหมดไปสี่เม็ด

     โอ้ อนิจจัง วันที่สามทานข้าวก็ดีหน่อยสี่ห้าคำในขณะเดินทางอยู่ชาวรถบัสก็ยุ่งแต่การจะเปิดซีดี สายพานแอร์ขาดอีกครับซวยสุดๆอากาศร้อนสิครับไม่ร้อนธรรมดาคงประมาณสี่สิบกว่าองค์ศา จะเป็นไรได้ครับตัวร้อนปวดหัวตามสิครับไข้ขึ้นสูงอีกมากกว่าเก่าด้วย สุดท้ายต้องเป็นทิฟฟี่อีกแล้วสองเม็ดจนถึงที่พักเวศาลีอีกสี่รวมเป็นหกเข้าห้องนอนอีกสองเป็นแปดหมดสิครับที่พกมาไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้แต่หลับครับแต่มีความซวยเล็กน้อยเปิดประตูมาดันมาเห็นแม่ชีในคณะกระโจมอกหน้าประตูอีก(แม่ชีก็ประมาณหกสีบปีแถมหนักหกสิบกว่าสูงร้อยห้าสิบกว่าจะมีไรหน้าดูวะ โอ้สังขารชั่งกะไรนี่)

    พอตื่นเช้าโชคดีหน่อยที่ผู้ต้อนรับเป็นคนอีสานเหมือนกันเลยบอกคนครัวที่เป็นคนอีสานมาทำงานก่อสร้างที่วัดแต่ต้องเข้าครัวด้วยตำแจ่วบองให้แล้วก็ได้คุยกับคนที่ทำอาหารมาสองคนจากอุดรเป็นพี่น้องกันด้วยความตั้งใจที่เขาจะทำให้เรา ก็เลยให้ของที่ระลึกท่านเจ้านายไปคนละชิ้นทั้งๆที่ก็กินไม่ได้เท่าไรแต่ดีกว่าสองวันที่แล้วประมาณครึ่งจานสองวันที่ผ่านมาแค่สองสามคำ

หมายเลขบันทึก: 448038เขียนเมื่อ 7 กรกฎาคม 2011 19:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 19:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

 

ตอนที่นิมนต์ไปไม่ได้คิดอะไร คิดว่าพระสายป่าจะมีความเรียบง่ายไม่เรื่องมากเท่าสายบ้าน จากที่ได้วิ่งเข้าวิ่งออกวัดป่าบ้านตาดได้เห็นปฏิปทาครูบาอาจารย์แต่ละท่านไม่เคยเรียกร้อง หรือเรื่องมาก อย่างไรอย่างนั้นคือความเรียบง่ายและความงดงาม อีกทั้งคณะที่ไปด้วยก็เป็นนักปฏิบัติ ที่ไม่ได้มีอุปนิสัยชอบปรนเปรอพระด้วยวัตถุสิ่งของ เพราะเคยเห็นโยมผู้หญิงจากวัดแห่งหนึ่งที่เคยนิมนต์พระไปพม่าเธอช่างน่าทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย เพราะเธอชอบประจบฉอเลาะพระ "ครูบาคะครูบาขา" ... และช่างสรรหาเงินมาปรนเปรอพระทำให้เสียอุปนิสัยของพระ และซื้อของให้พระอย่างมากมาย

การเดินทางครั้งนี้ได้เห็นการเปรียบเทียบ เอาไปเอามาพระสายบ้านกลับดูสงบ พระอีกสายดูถือเนื้อถือตัวเรื่องมากเข้ากับใครก็ไม่ได้เพราะมัวแต่แบกความเป็น "ตัวกู" ไปด้วย ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าไปเสวนา ผู้จัดก็ได้แต่ปรับสถานการณ์ไปตามเหตุการณ์ ส่วนในเรื่องการใช้วัตถุก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย

ความไม่สำรวมในสมณะพอกันแต่แสดงออกกันคนละเรื่อง เป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวชกับหนึ่งในพุทธบริษัทสี่...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท