Silver cloud
พระพิทยา ฐานิสสโร เสวกพันธุ์

จุดเริ่มต้น....ปลายทาง คือ ที่เดียวกัน


สัมผัสตาน้ำแห่งความสุข.....ทุกมุมโลก
ฐานิสสโร ภิกษุ
พิทยา เสวกพันธุ์
ตอน จุดเริ่มต้น....ปลายทาง คือ ที่เดียวกัน


ธรรมสวัสดี พี่น้องทุกท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุก ๆ สองอาทิตย์ของวันพระ หรือ วันพระพิเศษ(วันพระถัดไป) หลวงพี่กับพี่น้องจะมีโอกาสพบกัน เหมือนเราได้มีโอกาสสนทนากัน ผ่านทางตัวอักษร

เราจะสนทนากันได้อย่างไร ในเมื่อหลวงพี่จะเป็นเพียงผู้แบ่งปันเรื่องราวเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น หลวงพี่ใคร่เชิญชวนขอความเมตตา จากพี่น้องทุกท่าน ที่มีโอกาสอ่านบทความนี้ครั้งใดก็ตาม ช่วยแบ่งปัน หรือถ่ายทอดประสบการณ์หลังจากการอ่านบทความนี้แล้ว

เพื่อที่หลวงพี่จะได้มีโอกาสปรับปรุง แก้ไขบทความถัดไป ให้เป็นประโยชน์อย่างสูงสุดกับทุกๆ ท่าน และทำให้บทความเหล่านี้มีชีวิต ชีวา ปรับใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมยุคปัจจุบันได้มากที่สุด

เพราะพี่น้องทุกท่าน คือ คนที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยกันแบ่งปันความงดงามจากจิตใจที่เบิกบานให้แก่สรรพชีวิตและโลกของเรา

เราจะได้มีโอกาสสัมผัสตาน้ำแห่งความสุขร่วมกัน แม้เราจะอยู่กันคนละมุมโลกก็ตาม เพราะหลวงพี่อาจไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยกับพี่น้องทุกท่าน

แต่ละบทความอาจเกิดขึ้นในที่ต่างๆ ที่หลวงพี่มีโอกาสเดินทางด้านจิตวิญญาณจากการร่วมเรียนรู้ ปฏิบัติ และประสบการณ์ที่ได้ไปแบ่งปันธรรมมะ ทั้งในประเทศไทย หรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ศรีลังกา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลี ฝรั่งเศส แคนนาดาและอาจจะเป็นที่อื่นๆ อีกมากมาย

เราจะได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างเบิกบานและมีความสงบสุข ไม่ว่ามุมใดของโลก เราสามารถสัมผัสตาน้ำแห่งความสุขได้เสมอ เพียงแค่เราเริ่มเรียนรู้ที่จะเฝ้าตามดูลมหายใจอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องทุกๆ กิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน

เอาเป็นว่า ขอให้เรากลับมาสัมผัสลมหายใจอันอ่อนโยนร่วมกันตลอดการเดินทางนี้ อ่านบทความอย่างช้าๆ เหมือนกำลังนั่งรับประทานที่เราชอบมากที่สุด อย่างรู้คุณค่าและสำนึกบุญคุณ ค่อยๆ เคี้ยวอาหารอย่างละเอียด ก่อนที่อาหารจะตกไปยังหลอดลม เพื่อที่เราจะได้ลิ้มรสชาดของอาหารนั้นอย่างแท้จริง 

๓ กรกฎาคม ๒๕๔๑ คือ วันถือกำเนิดใหม่อีกครั้งในชีวิตของหลวงพี่ วันนั้นเป็นวันที่ตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สังคมหรือคนส่วนใหญ่กำหนดว่า ควรเป็นไปตามครรลองของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้จัดการแผนกอาหารสด ณ ห้างโลตัส ซุปเปอร์เซ็นเตอร์(เทสโก้ โลตัสในปัจจุบัน) สาขาสุราษฏร์ธานีที่ิเพิ่งดำเนินการได้ไม่ถึงปี

ทิ้่งครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมเรียนหรือแม้แต่เพื่อนที่คิดว่าจะร่วมชีวิต ไม่เหลือทรัพย์สิน ที่ใครทั้งหลายคิดว่า นั่นคือ หลักประกันชีวิตที่มั่นคงเพียงชิ้นเดียว แม้แต่นาฬิกาข้อมือที่ปกติใส่ติดตัวตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานอน เพื่อจะได้ดูเวลาตอนตื่น เพราะในชีวิตตลอดมาไม่เคยใช้นาฬิกาปลุก จะใช้นาฬิกาใจปลุกเมื่อต้องการตื่น และก็ใช้ได้ดีไม่เคยพลาด นอกจากเวลาที่ร่างกายเหนื่อยล้าจริงๆจะไม่ตื่นตามเวลาที่ต้องการ

นั่นก็เหมือนนาฬิกาชีวิต ที่เตือนเราว่าเราใช้ร่างกายนี้มากเกินไป ควรใส่ใจดูแลเขาเช่นเดียวกัน ด้วยการพักผ่อนให้ เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะเมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี เราก็จะทำทุกอย่างได้ดี

ตอนนั้นที่ตัดสินใจเพียงเพื่อค้นหา ความหมาย คุณค่า และความสุขที่แท้จริงของชีวิต ทั้งที่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะได้สัมผัสหรือประสบกับคำตอบหรือไม่ แต่ทุกครั้ง อาจเป็นคนโชคดี ที่ยอมรับการตัดสินใจของตนเองเสมอ แม้บางครั้งอาจผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่ก็คือ ส่วนหนึ่งของชีวิต

เราทุกคนผิดพลาดได้เสมอ ที่สำคัญ ต้องยอมรับความผิดพลาด ไม่จำเป็นต้องโทษ ติเตียนตัวเอง สิ่งแวดล้อม หรือคนอื่น เรียนรู้ที่จะให้อภัยกับตนเองด้วยการเริ่มต้นใหม่ที่จะทำให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเราตั้งใจและทำจริง ความผิดพลาดแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะไม่ปรากฎ และเครื่องมือที่จะช่วยเราได้ดีที่สุด ก็สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด หรือ อยู่ในตัวเรา นั่นคือ ลมหายใจแห่งสติ นั่นเอง

เมื่อเราเริ่มเรียนรู้ที่จะกลับมาตามรู้การเข้า ออกของลมหายใจ เราก็เริ่มที่กลับมามีชีวิตอย่างแท้จริง เพราะใจจะอยู่คู่กับร่างกายเราเสมอ

ไม่ใช่ว่า กายอยู่ตรงนี้ แต่ใจไปไหนก็ไม่รู้ แถมยังไม่รู้ไปเวลาไหนอีกต่างหาก คงไม่ต่างจากร่างกายที่นอนแน่นิ่งไร้ซึ่งดวงจิต เราเหมือนมีชีวิต แต่ไร้ซึ่งชีวิต ทำให้เราทำผิดพลาด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีพลังพอที่จะยับยั้งสิ่งไม่น่ารักในจิตใจของเราที่สั่งสมมานาน และนับวันยิ่งเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นโดยไม่รู้ตัวจากการบริโภคที่ขาดตระหนักรู้ ทำร้ายจิตใจที่อ่อนโยน บริสุทธิ์

ดังนั้นลมหายใจแห่งสติ จะเป็นสิ่งที่ช่วยเราให้เห็นชีวิตในทุกแง่มุมอย่างชัดเจนและถูกต้องยิ่งขึ้น และไม่ทำให้เราตกเป็นทาสของพลังที่ไม่น่ารักในจิตใจของเราอีกต่อไป และความผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด

การตัดสินใจถือเพศบรรพชิต ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ ๒ ของชีวิต เพราะเมื่อประมาณ ๑๕ ปี ก่อนหน้านั้น ขณะที่ทำงานเป็นผู้จัดการที่ซิซเลอร์ ซีพีทาวเวอร์ (สีลม) มีโอกาสพักร้อน ๑๕ วัน คิดว่าน่าจะบวชเพื่อทดแทนบุญคุณ พ่อ แม่ที่เลี้ยงดูเรามา และเป็นการสืบทอดประเพณีนิยม

จึงตั้งใจบวชประมาณ ๑๒ วัน เพราะต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเกิด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ขอความกรุณาจากคุณแม่ไปถามเจ้าอาวาสวัดใกล้บ้านที่สุด ว่าต้องเตรียมตัว ท่องคำขอบรรพชา(สามเณร) และอุปสมบท(พระภิกษุ)อย่างไรบ้าง

และขอความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาส ว่าจะบวชและลาสิกขาได้วันไหน เพราะพวกเราเชื่อกันเหลือเกิน ว่าจะทำงานมงคลแต่ละอย่างต้องดูฤกษ์ ดูยาม เพื่อความเป็นสิริมงคล

ส่วนตัวหลวงพี่เอง ในเวลานั้น อะไรก็ได้แต่ขอให้คุณพ่อ คุณแม่มีความสุขใจ ไม่กังวล ว่าอย่างไร ก็เอาตามนั้น ทั้งที่ในใจแล้ว คิดเสมอว่า ฤกษ์ดี คือเวลาที่มีจิตใจสงบ เบิกบาน

เพราะสังเกตุเห็นหลายคน ดูฤกษ์อย่างดีทั้งก่อนบวช ลาสิกขา เมื่อบวชก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไร แถมเอาทีวี เครื่องอำนวยความสะดวกเข้าวัด ลาสิกขาไปก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม

ที่เคยเมา ก็เมา เผลอๆ เมาหนักกว่าเดิม ที่เคยทะเลาะเถียงพ่อ แม่ก็ยังทำเหมือนเดิม หรือคู่รักที่หาฤกษ์แต่งงาน เวลาแต่งก็แต่งพร้อมกันหลายๆงาน เพราะฤกษ์ดีวันเดียวกัน

ก็น่าแปลกน่ะ คนเราเกิดต่างเวลา ต่างพื้นที่ ต่างบรรพบุรุษ แต่วันดีก็ต้องเป็นช่วงเวลาเหมือนกับคู่อื่นๆ ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นคนละเวลากัน จัดงานใหญ่โต แต่อยู่ร่วมกันไม่นาน ก็เลิกลากัน ด้วยเหตุผลที่ว่า ความเห็นไม่ตรงกัน

เมื่อเรามองลึกซึ้งเราจะเห็นว่า ถ้าเรารักษาจิตใจเราให้สงบ เบิกบานเสมอ ทุกวัน ทุกเวลาคือ ฤกษ์ดีของเรา เพราะใจเราไม่ซัดส่ายไปกับคำพูด การกระทำ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดกังวลและเป็นทุกข์

เราเองก็พูด กระทำแต่สิ่งที่ทำให้ใจสงบ เบิกบาน ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นทั้งแก่ตัวเราและผู้ที่อยู่ร่วมด้วยกับเรา อย่างนี้ถึงไม่ดูฤกษ์

เมื่อบวช ก็รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรให้เหมาะกับการบรรพชาอุปสมบท ลาสิกขาออกไปก็ทำตัวเองให้ดีขึ้นสมกับบุคคลที่ได้บวชเรียน

เหมือนคนสมัยโบราณที่ท่านว่า คนสุกแล้ว ท่านเปรียบ เหมือน ผลไม้ พืช ผัก ที่สุกพร้อมจะรับประทาน กลมกล่อม ชื่นใจ และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง

ถ้ามีบทบาทหน้าที่เป็นพ่อ ก็จะกลับไปใช้ชีวิตเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี นี่จึงเรียกว่าได้ประโยชน์จากการบวช และตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง

รุ่นบรรพบุรุษท่านจึงอยากให้ลูกผู้ชายทุกคนมีโอกาสบวชเรียน ก่อนที่จะมีครอบครัว เพื่อจะได้มีหลักใจ ที่จะดูแล รับผิดชอบหน้าที่ของครอบครัวต่อไป

การแต่งงานก็คงไม่แตกต่างกัน เมื่อใจเราสงบ เบิกบานเสมอ ถึงแม้ไม่ดูฤกษ์ เราก็จะรู้จักดูแลกันและกันเป็นอย่างดี อดทน ไม่ทำร้ายใจของกันและกัน ด้วยคำพูด การกระทำ ชีวิตคู่ก็จะราบรื่นมีความสุขสงบ เพราะเกิดจากการเห็นอกเห็นใจกัน

เราจะเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อการเติบโตและพัฒนาจิตใจอันสงบ เบิกบานในชีวิตคู่ของเรา และเพียงจดจำวันแรกของวันแต่งงานเสมอ แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม รักษาสัญญาแห่งใจ สำรวจความไม่น่ารักของตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเรา ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงคนรัก

การดูฤกษ์ ดูยาม ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหาย หรือไม่ดูก็ได้ ถ้าเรามีจิตใจที่มั่นคง เข้มแข็ง ยอมรับการกระทำและสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ไม่มีคำว่าบังเอิญ เกิดจากเหตุของการกระทำของเราทั้งสิ้น

เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้ ต่อให้ฤกษ์ดี แต่ถ้าเราประพฤติตัวไม่ดี ฤกษ์ดีก็อาจมีผลน้อย หรือไม่มีผลเลย แต่ถ้าเราต้องการดูฤกษ์เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ก็ไม่เป็นสิ่งที่น่าคัดค้าน และเราควรรักษาความสงบ เบิกบานด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อฤกษ์นั้น จะเป็นฤกษ์ที่ดีอย่างแท้จริง เป็นการเกื้อกูลกันและกัน 

การบวชของหลวงพี่ครั้งแรก มีงานเลี้ยงใหญ่โต มีวงดนตรี ในวันก่อนบวช ถามว่า เป็นความต้องการของหลวงพี่หรือไม่ ตอบว่าไม่เลย แถมมีการดื่มแอลกอฮอล์อีกต่างหาก ในใจก็คิดว่า จะได้บุญไหมหนอ

ในคืนนั้น เมื่อขอบคุณบรรดาแขกของคุณพ่อ คุณแม่ และญาติๆ เรียบร้อยแล้ว หลวงพี่ ก็ขอตัวไปพักผ่อน และท่องคำบวช เพื่อความพร้อมในวันพรุ่งนี้

รุ่งเช้า ก็มีการแห่ด้วยกลองยาว เสียงอึกทึกหวั่นไหว เราก็แอบสนุกไปด้วยก่อนที่จะเข้าโบสถ์ เราอาจจะไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรคือสาระแท้ของการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เราก็ยอมทำตามแบบซื่อๆ โดยไม่กล้าหรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามที่เขาว่ากัน

เมื่อทำการบวชเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็กลับบ้าน เหลือแค่พระบวชใหม่ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเลย จะเดิน จะนั่ง หรือจะพูดกับฆราวาส(บุคคลที่ไม่ใช่นักบวช)ควรใช้สรรพนาม หรือคำที่แทนตัวเอง ผู้อื่นอย่างไร

ไปบิณฑบาตวันแรกก็อายไม่กล้าเดินไปขอข้าวชาวบ้าน ในชีวิตไม่เคยขอใครกินแบบจริงๆ จังๆ เช่นนี้ จึงขอเดินไปแค่หลังวัดบ้านโยมแม่ ง่ายดี ไม่อาย ขอแม่มาตั้งนานแล้วจะอายทำไม(ประตูบ้านโยมแม่กับประตูหลังวัด ตรงกันพอดี เดินไม่ถึงสิบก้าว)

แต่วันถัดไปก็อยากฝึกตน และผู้เฒ่าหลายท่านก็แนะนำให้เราบิณฑบาตเลี้ยงพ่อแม่ ไม่ผิด ให้พ่อแม่มีโอกาสทาน ข้าวจากบาตรของลูก ก็เลยไปเดินบิณฑบาตที่อื่นก่อนผ่านหน้าบ้านโยมแม่และเข้าวัด

ตอนหลังจึงได้เข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระทุกรูปไม่ว่าบวชนานแค่ไหนต้องออกบิณฑบาต ยกเว้น ป่วย(อาพาธ) มีกิจนิมนต์ หรือไม่ฉัน นอกนั้นห้ามยกเว้น

เพื่อว่าพระจะได้เรียนรู้ รู้จัก ที่จะฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นการเตือนตัวเอง ว่าเราอยู่ได้เพราะชาวบ้านเลี้ยงเรา ดังนั้นเราควรทำหน้าที่ ศึกษาพระธรรม และปฏิบัติ อย่างสุดใจ สมน้ำข้าว อาหารที่เขาถวายให้เรา

หลังจากเข้าใจเลยไม่อาย และเป็นลดความหยิ่งทนงตนได้เป็นอย่างดี และไม่เลือก ให้ตระหนักว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าคือ สิ่งที่ดีที่สุด

๑๐ วันผ่านไปเร็วมากๆ ยังห่มจีวรไม่ถนัดเลย พุทธเจ้าทรงสอนอะไร ก็ยังเบลอๆ ขออนุญาตโยมแม่ขอบวชต่อ เพราะใกล้เข้าพรรษาพอดีอยากบวชต่ออีก ๓ เดือน

โยมแม่กลัวว่า ลาสิกขา ออกมาจะไม่มีงานทำ เลยปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวจะโทรศัพท์ไปที่บริษัท” โทร.ไปติดต่อกรรมการผู้จัดการ บอกว่า “ต้องขอโทษ อยากบวชต่ออีก ๓ เดือน ขอลาออกเพราะไม่ได้ทำตามสัญญา”

ท่านเมตตามาก ตอบมาว่า “นิมนต์ท่านบวช ยังไงก็กลับมาทำงานด้วย หลัง ๓ เดือนน่ะ” ยังซาบซึ้งในพระคุณท่านจวบจนวันนี้ ได้ไปเรียนให้โยมแม่ทราบ ท่านก็ยินดีตามนั้น

ในช่วงเวลา ๓ เดือนได้เรียนรู้อะไรมากมาย มีโอกาสทำงาน อบรมจริยธรรมเด็กนักเรียนขั้นพื้นฐาน มีความสุขในระดับหนึ่ง เพราะเราก็ยังมีความทุกข์อีกมากมายที่นอนเนื่องรอการปรากฏ แต่ก็ปฏิบัติเท่าที่กำลังมี

ได้ฝึกฝนกลับมาสัมผัสความสุขภายใน ไม่เกี่ยวด้วยวัตถุมากนัก รู้สึกเบาสบายทั้งกายและใจ

กุฏิที่พัก ไม่ต้องล๊อคประตู เพราะไม่มีอะไรนอกจากบาตร หนังสือบางส่วนและจีวร คิดว่าถ้าใครอยากนำไปใช้ก็ยินดี

น้ำหนักค่อยๆ ลดลง ประมาณ ๑๓ กิโลกรัม ชีวิตที่เบาสบายเป็นอย่างนี้เอง

แต่หลายครั้งก็ทำผิดใน ศีลวินัย เพราะเราไม่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ ก่อนบวช และค่อนข้างเข้าใจยาก ที่สำคัญเราเองที่ไม่ใส่ใจ

แต่เมื่ออ่านทบทวนหลายๆ ครั้ง เราค่อยๆ เข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงบัญญัติ ศีลแต่ละข้อ ทำให้อยากปฏิบัติตามมากขึ้น

มองเห็นตัวเองว่า เราไม่แข็งแรงพอ ถึงแม้อยากทำดี แต่ด้วยสิ่งเราสั่งสมมาอย่างไม่ตระหนักรู้มีมากเหลือเกิน ทำให้พลังไม่น่ารักมีพลังมากกว่าเรา และเป็นนายเราทุกที เห็นชัดมากเมื่อดูจิตภายในมากขึ้น

หลายครั้งติเตียน เพ่งโทษ สิ่งแวดล้อม บุคคลรอบข้าง เพราะเรายังไม่เห็นว่า ความทุกข์ เกิดจากตัวเราเป็นสาเหตุหลัก และไม่ยอมรับว่ามี และเราเป็นเช่นนั้นจริงๆ

พยายามหาข้ออ้าง เหตุผล โทษคนอื่น เพียงเพื่อรู้สึกดีกว่า หรืออยากให้คน สังคมยอมรับ ว่า ถึงฉันจะไม่ดี แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไป ยังมีคนนั้น คนนี้ ไม่ดีกว่าฉันอีก

หลวงพี่ก็เป็นเหยื่อกับความเห็นเช่นนั้นนับครั้งไม่ถ้วน เป็นความร้ายที่แอบแฝงในคราบความดี อันตรายจริงๆ แต่ค่อยๆ เรียนรู้และยอมรับ ต้องอดทน และมีวินัยที่จะกลับมาสัมผัสความเจ็บปวด ด้วยลมหายใจแห่งสติ

แต่ก็พยายามที่จะมีลมหายใจแห่งสติอยู่เสมอ ก่อนที่จะเกิดพายุ สงครามทางอารมณ์ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย ต้องเตือน และมีวินัยกับตัวเองเสมอว่า ทำต่อไป

๓ เดือนผ่านไป ใจจริงของหลวงพี่อยากบวชมาก แต่ด้วยเหตุที่ไม่พร้อมทางครอบครัว และเราเองอาจไม่มั่นคงกับความตั้งใจจริง จึงลาสิกขา กลับออกไปทำงานที่ซิซเลอร์

แต่ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน เลิกแอลกอฮอล์เด็ดขาดเมื่อมีการประชุมผู้จัดการร้านทุกเดือน เลี้ยงอาหารลูกน้องทุกเดือนเท่าที่จะให้ได้ แต่ไม่เลี้ยงเหล้า และไม่ห้าม แต่ขอร้องให้จ่ายเอง เพราะรู้สึกขอบคุณเขาเสมอ ไม่มีลูกน้องก็ไม่มีเรา เขาช่วยให้เราทำหน้าที่ของเราได้ดี

เมื่อพวกเขาทำงานดีมีความสุข สิ่งดีๆ ก็จะได้รับร่วมกัน เราบอกพวกเขาเสมอว่า ออกไปหน้าร้านเราต้องยิ้ม ทิ้งทุกสิ่งไว้หลังร้าน ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด เพราะเขาช่วยเหลือเราให้ดำรงอยู่ได้ในวันนี้

ที่สำคัญเราเองต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกน้องเห็น ตอนแรกที่ไม่ดื่มเหล้า ก็ถูกตำหนิจากเพื่อนๆ และลูกน้องบ้าง

แต่เมื่อเราตั้งใจจริง ที่สำคัญยังมีน้ำใจเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ สิ่งนั้นมีค่ากว่าตอนนั่งดื่มเหล้าด้วยกันอีก แถมไม่ทำร้ายตัวเองและไม่เป็นตัวอย่างที่ไม่น่ารักให้กับคนรอบข้าง

ร่างกายและทรัพย์อาจเหลือมากกว่าเดิมถ้ารู้จักเก็บออม เพราะจดจำเหตุการณ์วันก่อนปีใหม่ครั้งหนึ่งได้ดี ประชุมลูกน้องก่อนมีงานเลี้ยงภายในร้านว่า ต้องเตรียมพร้อมที่สุดในวันพรุ่งนี้ เพราะลูกค้าจะเยอะมาก ทุกคนรับปากอย่างดี แต่พอเหล้าเข้าปาก สิ่งที่ตกลงสัญญากันก็ไม่สามารถทำได้

ในเช้าวันรุ่งขึ้น ลูกค้าเต็มร้าน ต้องรอคิวอีกต่างหาก แต่ไม่มีพนักงานบริการเพียงพอในทุกๆส่วนของร้าน และท่านกรรมการผู้จัดการก็มาเยี่ยมร้านวันนั้นพอดี

ทุกที่ในร้านเละเทะไปหมด ไม่ใช่เฉพาะหน้าร้าน ความรู้สึกคล้ายๆ ใครเอาระเบิดมาโยนทิ้งไว้ที่ร้าน ทุกอย่างพังหมด แต่มองลึกซึ้ง เราเองเป็นคนวางระเบิดร้านของเรา เพราะเราเอาเหล้าให้เขาดื่ม

ประสบการณ์จะสอนให้เราได้เติบโตเสมอ ถ้าเรานำมาพิจารณาใคร่ครวญ และปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ขอบคุณประสบการณ์วันนั้นทำให้รู้ว่าวันนี้ควรทำอะไร

หลังจากทำงานที่ซิซเลอร์ได้อีกประมาณ ๑ ปี ก็ขออนุญาตลาออกไปทำงานเป็นผู้บริหารฝึกหัดที่ โลตัสซุปเปอร์เซ็นเตอร์อีกประมาณ ๑ ปี จึงตัดสินใจลาออกโลตัส ด้วยเหตุผล คือ ต้องการบวช

หลายคนคัดค้าน ยื่นใบลาออกหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธจากผู้อำนวยการห้าง ให้ไปทบทวนดูใหม่ สุดท้ายก็อนุญาตให้ออก เพราะยังยืนยันคำเดิม

ซึ่งตอนนั้นเศรษฐกิจไม่ดี พนักงาน หัวหน้าถูกจ้างออกมากมาย บริษัทกำลังเปลี่ยนระบบ ต่างชาติมาร่วมหุ้น

๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ ขออนุญาตคุณพ่อที่ไปรับเพื่อขนของกลับ ขับไปที่สวนโมกข์เพื่อทำบุญครั้งสุดท้่ายในเพศฆราวาส ด้วยการซื้อหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาส ไปถวายที่วัดที่ตนเองจะไปบวช 

งานบวชครั้งที่ ๒ แตกต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ไม่มีงานเลี้ยง กลองยาว วงดนตรี บัตรเชิญหรือเหล้า

โกนหัวก่อนบวชหนึ่งวัน ผู้ร่วมงาน ทานอาหารหลังจากที่พระฉันเสร็จ ขออนุญาตไปนอนที่วัด เจ้าอาวาสเมตตาให้จีวรชุดแรกที่ใช้อยู่ถึง ๕ ปี จนขาด บางแบบเห็นทะลุผ่าน

เริ่มเข้าใจว่า พุทธะ คือ อะไร ตื่น ตื่น ตื่น คือการตื่น จากเรื่องงมงาย ความฟุ่มเฟือย ความมัวเมา การหลับแบบไม่รู้ทิศทาง กลับมาสู่ความเรียบง่าย สงบ เบิกบาน

ยิ่งใช้ สร้างมาก ยิ่งทำลายโลกมาก ทำลายโลกก็กำลังทำลายตัวอง ค่อยรับรู้ว่า ต้นเหตุแห่งความทุกข์เกิดจากเรา

ไม่มีใคร สถานการณ์ใด สิ่งแวดล้อมไหน จะทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่มี ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง ความอาฆาต ทำร้าย ความเศร้า ความเหงา ความกลุ้ม ความเครียด ความกลัว ความอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความหดหู่ ฯลฯ

ดังนั้น ที่เราเป็นทุกข์ เพราะเรามีสิ่งเหล่านี้ในตัวเราเอง บุคคล สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม เป็นเพียงกระจกที่ทำให้เราเห็นว่า เรายังปล่อยวางอะไรไม่ได้บ้าง เรายังมีอะไรอยู่ในจิตใจของเราบ้าง

ยิ่งเรายึดมั่นมาก เราก็ทุกข์มาก มันจึงเริ่มต้นจากเรา

เมื่อเราเห็นเช่นนี้ เราจะรู้สึกขอบคุณ และเรียนรู้จะกลับมาดูแล รักษา เยียวยา ความทุกข์เหล่านั้น ไม่ปล่อยให้เขาไปนายเราอีกต่อไป

ลมหายใจแห่งสติ คือยาขนานเอก ที่จะเปลี่ยนแปลงความทุกข์เหล่านั้น ให้เป็นความเมตตา กรุณา ความเอื้ออาทร

เพราะเมื่อใดที่เราโกรธ เกลียดชัง แก่งแย่งชิงดี ทำร้ายกัน เรากำลังทำร้าย ไม่มีเมตตา กรุณาต่อตัวเอง ยิ่งคิด กระทำมากเท่าไร ทำให้ตนเองรุ่มร้อนมากขึ้นเท่านั้น แล้วเราจะบอกว่า เรารักตัวเองได้อย่างไร

หลวงพี่ขอเชิญชวนทุกชีวิตค่อย ๆ กลับตามรู้ลมหายใจแห่งสติด้วยกัน ในทุกมุมของโลก ในทุกสิ่งที่กระทำ ความสงบ เบิกบานจะค่อยๆปรากฏ ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามตั้งใจของแต่ละชีวิตว่าจะสัมผัส รับรู้ได้มากแค่ไหน

ขอให้มีความสงบสุขกับการตามดูลมหายใจแห่งรัก ไฟเกิดที่ไหน ก็ต้องดับที่นั่น ความทุกข์เริ่มต้นที่เรา ก็ต้องจบ และดับที่เรา.....ณ ที่เริ่มต้น และจุดหมายปลายทาง จึงเป็นที่เดียวกัน

คำสำคัญ (Tags): #ลมหายใจแห่งสติ
หมายเลขบันทึก: 450556เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2011 15:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

หลังจากอ่านบันทึก ... จึงได้เขียนอีกหนึ่งบันทึกเจ้าค่ะ

ข้าพเจ้ากลับเข้าบ้านหลังเล็กๆ นี้อีกครั้ง ที่นี่คือ บ้านที่ถูกโอบล้อมด้วยกอไผ่ในสามด้านและหน้าบ้านเป็นลานกว้าง ที่นี่มีทั้งเสียงนกและไก่ขันสลับกันดั่งท่วงทำนองของดนตรี...การกลับมาบ้านหลังนี้แม่ต้องอดทนต่อความคิดถึงลูก แต่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่าแม่ทำใจยอมรับได้มากขึ้น ว่าลูกยังอยู่ในหัวใจของแม่

การจากเพียงแค่การเขยื้อนออกไปทางกายเท่านั้น แต่ในห้วงแห่งความคำนึงข้าพเจ้ายังเป็นลูกสาวตัวน้อยของแม่ "ใจ" ของแม่ได้เปิดกว้างต้อนรับลูกอีกครั้ง อย่างไม่ต่างออกไปจากในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาในชีวิต

ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้ามืดนอนฟังคำอบรมสั่งสอนให้ลึกซึ้งเข้าไปในจิตวิญญาณ หลายบทต่อหลายบท ฟ้าสางได้ลุกขึ้นมาทำดีท๊อก ข้อเท้ายังไม่หายบวมแต่ใจนี้นอบน้อมมากขึ้น ยอมรับอย่างไม่ใช่พ่ายแพ้ต่อสภาวะที่เกิด เมื่อพิจารณาน้อมใจลงได้เช่นนี้ ความเบาสบายก็บังเกิด แต่ละก้าวย่างที่ย่างเท้าไปบนผืนดิน ด้วยลมหายใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตายลงเรื่อยๆ แทบตลอดเวลา

ย่างก้าวที่นี่ไม่ต่างๆ จากย่างก้าวที่เดินอยู่ในห้องโถงใหญ่ของห้องประชุมใหญ่ในเมืองหลวง ... ข้าพเจ้ามาที่นี่มาเพียงเพื่อทำหน้าที่ ไม่เกี่ยวเนื่องหรือร้อยรัดด้วยเงื่อนไขใดใด ก่อนไปข้าพเจ้าไปด้วยความหวังและปรารถนาความเป็นหนึ่งเดียวของผู้คน แต่...แล้วระหว่างย่างก้าวนั้นได้ตื่นรู้ว่า ที่นี่ ไม่มีข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ได้มี มีแต่เพียงการเคลื่อนไปตามเวลาเพื่อให้ทันความเป็นปัจจุบันขณะ

บนผืนดินที่บ้านน้อยหลังนี้...

ไม่มีการเกิดและไม่มีการตาย มีเพียงเรื่องราวและผู้คนที่ผ่านและผ่านเลยไป

ข้าพเจ้านั่งลง...ที่โต๊ะยาวข้างตัวเรือน เสียงไก่ขันในรอบเย็น ข้าพเจ้าหยิบไม้กวาดไปกวาดใบไม้ที่เปียกชุ่มช่างหนัก จึงได้วางลงและทบทวนใคร่ครวญในลมหายใจของตนเอง...

การดำรงอยู่อย่างคนที่ตายไปแล้ว...

ทำให้เราเข้าทันสู่ความเป็น "ปัจจุบัน" มากที่สุด...

วันนี้คือ วันที่ได้พัก ท่ามกลางการทำกลุ่ม "เรียนรู้ทางปัญญาและหัวใจ" ร่วมกับเด็กๆ ผ้าขาวที่มาฟื้นฟูฯ ที่วัด...ทั้งวันผ่านไป

แสงแดด ร่มไม้ และเสียงไก่ได้ช่วยให้ตื่นรู้ว่าข้าพเจ้า ณ ห้วงเวลาที่ผ่านไปนันไม่มีเสมอเหมือนได้ตายไปแล้ว...

...

๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

ใน ฉันตายจากไปอยู่เรื่อยๆ...

Large_zen_pics_007 

 

กราบนมัสการหลวงพี่ค่ะ

ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ สำหรับบทความที่เตือนสติและให้รู้จักการตื่นรู้ในการดำเนินชีวิตค่ะ

นมัสการหลวงพี่เจ้าค่ะ

ขอบพระคุณกับข้อคิดดีๆที่ได้จากบันทึกนี้  อ่านแล้วเตือนสติได้สติ  รู้คิดรู้เท่าทัน

เพื่อความสงบและเบิกบานในจิตใจค่ะ

น้อมธรรมสู่ใจ...กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท