บันทึกนี้ มิได้เจตนา เกิดจากความบังเอิญ
ให้เกิดแรงอยากเขียน จนเก็บไว้เขียนพรุ่งนี้ไม่ไหว..
เริ่มจาก ท่าน อ.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ได้กล่าวถึง อ.อุดากร
ข้าพเจ้าจึงเกิดความสนใจว่าท่านผู้นี้คือใคร
เมื่อเปิดเข้าไปดูใน wiki จึงพบว่า..
ท่านเป็นนักเขียน นักศึกษาแพทย์ ผู้อาภัพ และอายุแสนสั้น
เรื่องสั้นเด่น คือ "ตึกกรอสส์" ข้าพเจ้าอยากรู้มาก
ว่าเรื่องเป็นอย่างไร
( ถึงตรงนี้ท่านใดเคยอ่าน ช่วยเล่าเป็นวิทยาทานสักนิด
จะขอบคุณมากมายคะ)
พูดถึงตึกกรอสส์
ข้าพเจ้านึกถึงกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนอย่างอื่น
กลิ่นฟอร์มาลีนฉุนในห้องที่แสงนีออนสว่างจ้า
ร่างอาจารย์ใหญ่สีน้ำตาลเข้ม ที่เหยียดบนเตียงสแตนเลส
หนังสือคู่มือ "Netter anatomy" ที่มีสีน้ำตาลเป็นจ้ำๆ
วางอยู่ปลายเตียง
ข้าพเจ้าและเพื่อนอีกสามคน ศีรษะแทบจะชนกัน
เพื่อค้นหา "Recurrent laryngeal nerve"
ต้องค่อยๆ ตัดกล้ามเนื้อออกทีละนิด..
เศษชิ้นเนื้อแต่ละส่วน ต้องเก็บไว้ในถุง
เพื่อรวบรวม สำหรับ วันพระราชทานเพลิงศพ อันทรงเกียรติ
จึงหาคำว่า "ตึกกรอสส์" และ "อ.อุดาการ" และ "อาจารย์ใหญ่" ใน
google
ไปๆ มาๆ สะดุดกึกเข้าที่ youtube นี้..
นาทีที่ 5.11
พิธีกร "ทำไมถึงอยากมาบริจาค"
ป้าอำนวย "อยากเป็นอาจารย์หมอคะ" ( เหอะๆๆ)
"และก็..ทำบุญเดี๋ยวนี้นะ
เราไม่ค่อยมีเงินทำบุญ..ตรงนี้เขาว่าได้บุญดี ยายก็เลยอยากได้บุญ..
"
พิธีกร "แล้วไม่กลัวเหรอ.."
ป้าอำนวย "ก็กลัวเหมือนกัน กลัวๆ กล้าๆ นี่แหละ เหอะๆ"
...
พิธีกร "แล้วป้ารู้ไหม ว่าคุณป้าเสียแล้วเขาเอาไปทำอะไรบ้าง"
ป้าอำนวย "เขาเอาไปเรียน ไปผ่าดูเส้นในใส้ในอะไร คงอย่างนั้นนะ"
พิธีกร "แล้วป้าไม่กลัวหรือ"
ป้าอำนวย "อ้าว ก็เราตายแล้ว
..ขนาดเขาเผาเรายังไม่รู้ร้อนเลยนะ..
เราตายแล้วจะไปรู้อะไร"
พิธีกร "แต่บางคนเค้ากลัวว่าตายไปแล้ว ตัดแขนไปแล้ว ตัดขาไปแล้ว
จะทำอย่างไร"
ป้าอำนวย "อุ๊ๆๆ ช่างเถอะ ชาติหน้าเราเป็นอย่างไรไม่รู้
ขอให้ชาตินี้เราสบายๆ ก็แล้วกัน"
พิธีกร "ก็คือเป็นครูชาตินี้ไม่ได้ ก็ขอให้เป็นครูในวันหน้านะ.."
ป้าอำนวย "ชาตินี้เราโง่ ไปไหนก็ไปไม่ถูก ...
ก็เลยอย่ากทำบุญ
เผื่อเกิดชาติใหม่เราจะได้ดีกว่านี้สักหน่อย.."
...
ข้าพเจ้าน้ำตาซึม..ด้วยความ...ละอาย..
อ. ดุอาการ .....นานมากแล้ววรรณกรรมรุ่นนี้
ชอบตึกกรอสส์ที่เขียนโดย อ. อุดากร
(ผมจำชื่อผู้เขียนผิดหรือเปล่าหนอ) นานหลายปีเหลือเกินที่อ่านมา
ขอบคุณมากครับ คุณหมอ ;)...
เรื่องของการทำความดีในสิ่งที่ดีงามนี่
มันทำให้เราปลาบปลื้มใจจริง ๆ ;)...
สวีสดีครับ คุณหมอ ผมอ่านบันทึกคุณหมอแล้ว ชักติดใจครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นครูบาอาจารย์ แต่ชีวิตผลิกผัน เลยเป็นได้แค่ครูทหาร เห็นทีต้องเป็นอาจารย์หมอ... เหมือนป้าบ้างแล้วครับ...
ผมชอบอ่านงานของ อ.อุดากร มากครับ โดยเฉพาะ "ตึกกรอส" อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก
เคยอ่านนานมาแล้ว บรรยากาศในเรื่องเหงาๆ ซึมๆ เศร้าๆ มีกลิ่นอับๆ ลึกลับๆ ยังไงๆชอบกล
ต้องไปหามาอ่านอีกรอบแล้วล่ะครับ
เพิ่งทราบว่า อ.อุดากร เป็นนามปากกา ของ อุดม อุดาการ (2467-2494) นานจริงๆคะ
อ.อุดากร ถูกต้องแล้วคะอาจารย์ (ตามที่เห็นในปกหนังสือ)
แต่เปิดใน internet บ้างก็ว่า อ.อุดาการ
ชีวิตจริงท่านนี้ยิ่งกว่านิยาย
คะอาจารย์..วิธีการพูด เป็นเอกลักษณ์ชาวบ้านไทยๆ ที่น่ารัก ขณะเดียวกัน ก็ให้แง่ปรัชญา ที่สะท้อนสะเทือนใจทีเดียว
ชื่นชมคะ เพราะคนไทยเรามีน้ำใจเช่นนี้ ทำให้นักศึกษาแพทย์ยังมีอาจารย์ใหญ่ "จริงๆ" ให้ศึกษา ในประเทศอเมริกา หาอาจารย์ใหญ่ยากขึ้น (คงเพราะต้องเก็บไว้ autopsy ในการ claim ประกัน) นักศึกษาเลยต้องเรียนจากคอมพิวเตอร์แทน ตามข่าวนี้คะ
แสดงว่าเป็นหนอนหนังสือตัวจริงเลยนะคะ เห็นในเวบคุยกันว่า หาอ่านยากแล้ว
อ.อุดากร เขียนเรื่องออกมามุมมอง ซึม เศร้า มืดมน
คงเพราะชีวิตท่าน ที่มีวัณโรคคุกคาม จนผิดหวังในชีวิต
..สมัยก่อน ไม่มียารักษาวัณโรคที่ดี
(เคยดูเรื่อง ข้างหลังภาพนางเอก ก็เสียชีวิตจากโรคนี้)
..เสียดาย ถ้าเป็นสมัยนี้ รักษาไม่ยาก -- ลองถาม คุณ"ทิมดาบ" ดูก็ได้คะ
อะไรที่อยู่หน้ากระดานดำ หน้าห้องเรียน
แล้วนักดนตรีมาทำอะไรในห้องนี้
ยากจัง..
เดาว่า มีใครสักคนอยู่ในล้อเข็นหรือเปล่าคะ
ส่วนนักดนตรี ก็กำลังเล่นดนตรีเป็นเกียรติให้เจ้าของร่าง
อนุโมทนาคะ อาจารย์
ขอบคุณสำหรับพิสูจน์อักษรคะ แก้แล้วพร้อม highlight ครั้งหน้าจะได้ไม่ลืม :-)
อายุ ๒๗ แต่สิ่งที่ฝากไว้บรรยายไม่ถูกเลยครับ....ขนลุก พลางนึกว่า เอ แล้วเราอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย???
วงเสวนานี้เหมือนโต๊ะนั่งกินกาแฟกลิ่นหอมละมุน เลยต้องแอบแวะมานั่งฟังไปด้วยครับ การคุยของอาจารย์หมอ CMUpal นี่ทำให้บรรยากาศครึกครื้นดีนะครับ
ตรงของท่าน 'คนบ้านไกล' นี่ ขออนุญาตร่วมคุยด้วย คิดว่าไม่เป็นการเสียความเคารพนะครับ
นี่ถ้าหากยังอยู่ในอารมณ์เดียวกันของหนังสือและการอ่าน และการทำงานของสมองสองซีกแล้วละก็
มุขนี้เป็นมุขของเซียนนักอ่านเลยละครับ ทำให้ผมนึกถึงข้อเขียนของท่านอาจินต์ ปัญจพรรณ ซึ่งเคยได้อ่านนานมากแล้วเหมือนกัน แต่จำไม่ค่อยได้เสียแล้วว่าจากที่ไหน น่าจะจากมติชนสุดสัปดาห์ ท่านนำเอาเรื่องสั้นที่สั้นที่สุดที่ท่านลองเขียนเองและของนักเขียนฝรั่งที่เคยปรากฏ มาเล่าแบ่งปันกัน แต่ละเรื่องจะเป็นอย่างนี้เลย คือมีแค่สองสามประโยค บางทีแค่ไม่กี่วรรค ไม่ถึงบรรทัดเอาด้วย แต่ให้พลังความบันดาลใจได้เป็นอย่างยิ่งครับ
ในแนวของท่านคนบ้านไกลนี่ เป็นแนวเรื่องสั้นหักมุมที่สั้นที่สุดเลยกระมังครับ อีกทั้งเป็นแนวหักมุมที่เล่นกับอำนาจของวรรณกรรมต่อความมีชีวิตอยู่ในโลกความเป็นจริงที่เก๋ไก๋มากครับ คือวรรคแรกเปิดเรื่องเป็นฉากในบรรยากาศของการศึกษา กิจกรรมของการเรียนการสอน การเปิดตัวของตัวเอกหรือผู้เดินเรื่องต่อไป ย่อมทำให้คนคาดหวังว่าจะเป็นเรื่องอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องการค้นพบหรือเรื่องราวสนุกๆของนักศึกษา ครูอาจารย์
แต่เรื่องนี้กลับฉีกออกจากบริบทที่ใช้เปิดเรื่องแล้วไปเดินเรื่องด้วยนักดนตรี แล้วก็กลับทิ้งท้ายให้คนอ่านสร้างเรื่องราวในความคิดคำนึกต่อไปเองอีก ซึ่งย่อมทำให้เป็นเรื่องสั้นและตัวหนังสือที่แต่เดิมเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต แยกส่วนเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ข้างนอก กลายเป็นเสียง echo ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตจิตใจของผู้อ่าน เป็นลูกเล่นที่สนุกและท้าทายการหารูปแบบอย่างนี้ดีครับ
:-O อ้าปากค้างเลยคะอาจารย์ :-D ยินดีที่มาร่วมวงกาแฟคะ
ภาพนี้สื่อถึง การดำเนินของเรื่องที่มีการหักมุม..
เดี๋ยวรอ คุณคนบ้านไกล เข้ามา G2K เมื่อไหร่จะเชิญมาร่วมวงสนทนา และเฉลยนะคะ
เดาว่า มีใครสักคนอยู่ในล้อเข็นหรือเปล่าคะ
ส่วนนักดนตรี ก็กำลังเล่นดนตรีเป็นเกียรติให้เจ้าของร่าง
คนที่เป็นหมอเท่านั้นจึงจะตอบคำถามนี้ได้ อาจารย์ตอบได้ถูกแล้ว
ยอดเยี่ยมเลยครับ
เฮ..เจ้าของปริศนาท้าทาย มาเฉลยแล้ว
น่าทึ่งว่า ภาพหนึ่งภาพ สามารถตีความได้หลากหลาย
ขึ้นกับ บริบท ที่ภาพมาประกอบ
ขอบคุณที่ทำให้ได้เรียนรู้ และครึกครื้นนะคะ
ยินดีกับลูกสาวคนเก่ง ว่าที่ คุณหมอ ด้วยคะ :-))
เป็นการสาธิตบรรยากาศการศึกษาให้เห็นเลยนะครับว่าเขาเน้นการศึกษาเรียนรู้อย่างมีความสุขและการพัฒนาออกมาจากด้านในของมนุษย์ เพื่อสร้างหมอที่ไม่ใช่เพียงสามารถรักษาโรคมิติเดียวได้แต่รักษาคนด้วย จัดว่าเป็นการพัฒนาทักษะสมองและกระบวนการเรียนรู้แบบผสมผสานกันทั้งด้าน Concrete concept และ Solf structure วิธีหนึ่งเหมือนกันเลยนะครับ
อันที่จริงผมคิดถึงได้อีกหลายอย่างเลยละครับ หากเป็นกลุ่มสนทนากันเรื่องหนังสือ อ่านมาคุยกัน ดูหนังมาคุยกัน นำประสบการณ์ชีวิตมาคุยต่อยอดความคิดให้กัน เมื่อนำสิ่งต่างๆมาแบ่งปันกันแบบกว้างๆอย่างนี้ ก็จะสามารถใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ด้านหนึ่งก็อาจจะเป็นการให้ข้อเท็จจริงว่ามันคืออะไร แต่ถ้าหากคุยกันต่อ ก็จะสามารถใช้เป็นตัวให้ความคิด ซึ่งสมาชิกในวงสนทนา ก็จะสามารถเข้าสู่เรื่องราวต่างๆเพื่อคุย แลกเปลี่ยนทรรศนะ สร้างความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตกันได้อย่างรอบด้าน ต่อยอดความคิด ดึงความรู้ที่เชื่อมโยงออกไปได้มาแบ่งปันกัน
ที่คิดถึงวิธีเดินเรื่องแบบหักมุม ก็เนื่องจากกำลังคิดค้างไปกับการคิดแบบกระโดดข้ามโหมดกลับไป-กลับมาของสมองสองซีกน่ะสิครับ ในงานศิลปะแบบจัดวางบริบทที่ความหมาย เรื่องราว และความงาม เหล่านี้ มนุษย์ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างขึ้นด้วยตนเอง, หรือวิธีให้เงื่อนไขเพื่อให้ปัจเจกเข้าสู่ภาวะบรรลุธรรมด้วยตนเองอย่างวิธีการของเซน, ศิลปะเรื่องสั้งแบบหักมุม ที่ให้บริบทที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง สำหรับให้ผู้อ่านสามารถก้าวกระโดดด้วยตนเองเพื่อเข้าถึงภาวะอีกอย่างหนึ่ง ที่อธิบายและนำเสนอด้วยความคิดแบบเหตุผลแล้วมันจะไม่ใช่ หรือเข้าถึงได้ไม่ลึกซึ้ง, รวมทั้งวิธีจิตสิกขาอย่างในวิถีพุทธธรรมที่ต้องกอปรด้วยปรโตโฆษะ กับกระบวนการโยนิโสมนสิการ เหล่านี้ เป็นกระบวนการที่ไม่ต่อเนื่องกันตรงๆ แต่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันให้เกิดภาวะต่างๆ แบบกระโดดข้ามโหมดได้ ก็เลยคิดว่ารูปภาพของคนบ้านไกล กำลังมาชวนให้สัมผัสดูอีกวิธีหนึ่งด้วยวิธีนำเสนอรูปถ่ายนี้ล่ะสิครับ แต่ก็สนุกและเป็นการทำให้เกิดการได้พูดคุยไปบนความเชื่อมโยงได้รอบด้านดีนะครับ
หากเป็นกลุ่มสนทนากันเรื่องหนังสือ อ่านมาคุยกัน ดูหนังมาคุยกัน นำประสบการณ์ชีวิตมาคุยต่อยอดความคิดให้กัน เมื่อนำสิ่งต่างๆมาแบ่งปันกันแบบกว้างๆอย่างนี้ ก็จะสามารถใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ด้านหนึ่งก็อาจจะเป็นการให้ข้อเท็จจริงว่ามันคืออะไร แต่ถ้าหากคุยกันต่อ ก็จะสามารถใช้เป็นตัวให้ความคิด ซึ่งสมาชิกในวงสนทนา ก็จะสามารถเข้าสู่เรื่องราวต่างๆเพื่อคุย แลกเปลี่ยนทรรศนะ สร้างความรู้
เห็นด้วยคะ :-)
ก็เลยคิดว่ารูปภาพของคนบ้านไกล กำลังมาชวนให้สัมผัสดูอีกวิธีหนึ่งด้วยวิธีนำเสนอรูปถ่ายนี้ล่ะสิครับ แต่ก็สนุกและเป็นการทำให้เกิดการได้พูดคุยไปบนความเชื่อมโยงได้รอบด้านดีนะครับ
คนอยู่เมืองไทยโชคดี มีคนที่ถูกใจ และไม่ถูกใจคุยดัวยมากมาย
ที่นี้หาคนที่ถูกใจคุยด้วยไม่ค่อยได้ เลยไม่มีอะไรจะต่อยอด จะเจอกันส่วนมากก็ที่วัด เพราะต้องไปทำบุญ มีเวลาไม่มากครับ
ไม่ทราบว่าคุณหมอคิดอย่างไร กับชีวิตของคนไทยในอเมริกา
คิดถึงเมืองไทยหรือยัง
แม้จากไป ใจคงเหงา สร้างขึ้นจากใจโดยปราศจากคำพูดครับ
จำได้ว่าอ่านเรื่องนี้ในหนังสือรวมเรื่องสั้น ในเล่มนั้นมีเรื่อง "มอม" ของอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ด้วย จนป่านนี้ยังไม่ลืมแสดงว่าเล่มนี้ "ฝังลึก" ในสมอง
ตอนเด็กๆชอบเรื่องสั้นมาก เพราะสมาธิน้อย แต่พอหลงใหลสมาธิก็ค่อยๆยาวขึ้นๆ จนกลายเป็นหนอน (หนังสือ) ไปเมื่อไรไม่ทราบ สถิติที่ทำไว้ก็คือ เคยนอนอ่านหนังสือกำลังภายในของพ่อ อ่านทั้งวันทั้งคืน (มีอยู่หนึ่งห้องสมุดเต็มๆ supplies ไม่เคย exhausted) จนเพื่อนพี่สาวที่ชอบมาค้างที่บ้านนึกว่าเป็นง่อย เพราะมาทีไรก็เห็นนอนงอก่องอขิงกอดหนังสืออยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ ตลอดปิดเทอมใหญ่ จนวันดีคืนดี ผมเดินไปเข้าห้องนอน แกเห็นก็กรี๊ดเล็กๆออกมา ค่อยสารภาพว่าไม่คิดว่าจะเดินได้ และไม่กล้าถามว่าเป็นอะไร ผมก็ไม่ว่าอะไร เข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมานอนอ่านหนังสือต่อไป
การเขียนเป็นการเยียวยาที่ดี เหมาะมากในบรรยากาศที่หาคนฟังดีๆยากขึ้นๆ สมุด หนังสือ เป็นผู้ฟังที่ดี แถมยังสะท้อนออกมาเดี๋ยวนั้น จนบางทีเราก็แปลกใจในสิ่งที่สะท้อนออกมาราวกับเราไม่ได้เป็นผู้เขียน ไม่น่าเชื่อว่าพอเรา "เห็น" ความคิดออกมาเป็นตัวอักษร มันกลับไม่เหมือนตอนความคิดเรายังอยู่ในศีรษะเท่าไรนัก
อ้อ.. อ่านเรื่อง "ตึกกรอส" ครั้งแรกนั้น จัดเป็นเรื่อง "สยองขวัญ" เรื่อง "มอม" ก็ dark พอๆกัน แต่ชอบนิยายทุกชนิดอยู่แล้ว เรื่องผีก็ติด "ปิศาจของไทย" ของอาจารย์เหม เวชกร มาแต่ไหนแต่ไร ติดภาพลายเส้นของท่านด้วย
จนเพื่อนพี่สาวที่ชอบมาค้างที่บ้านนึกว่าเป็นง่อย เพราะมาทีไรก็เห็นนอนงอก่องอขิงกอดหนังสืออยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ ตลอดปิดเทอมใหญ่ จนวันดีคืนดี ผมเดินไปเข้าห้องนอน แกเห็นก็กรี๊ดเล็กๆออกมา ค่อยสารภาพว่าไม่คิดว่าจะเดินได้
อาจารย์เล่าซะเห็นภาพ อย่างกับเรื่องบ้านทรายทอง
555 ได้เป็นชายเล็กด้วยเรา อิ อิ
แจ้งข้อมูลเพิ่มเติม
ผมอ่านงานเขียนของท่าน เมื่ิอประมาณ ปี พ.ศ. 2508 ื หนังสือชื่อว่า. ชั่วชีวิตของ อ.อุดากร. รวมเรื่องสั้นทั้งหมด ผมชอบเรื่อง
ตึกกรอส.มาก. และเมื่อได้อ่านเรื่อง สันชาติญาณมืด. ผมสะท้านไปทั้งกาย. ท่านแต่งได้ดีมาก ตอนนี้ผมอายุ. 65 ปีแล้ว. ยังชื่อท่านไม่ลืมเลย