การรักษาสภาวะ Hyperpronation
ในเด็กวัยรุ่น
โดย ธนพร ตันประเสริฐ และ ยุทธพงศ์ อุณหทวีทรัพย์
ในวันที่ 5 สิงหาคม 2554
ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาดูงานกับคุณหมอเชิดพงศ์ที่โรงพยาบาล Bangkok
Nursing Home
จึงอยากเขียนเล่าประสบการณ์แบ่งปันความรู้ที่ได้มาให้กับทุกๆ
คนได้อ่านและศึกษาเรียนรู้กัน
กรณีของคนไข้ที่จะพูดถึงเป็นเด็กนักเรียนระดับชั้น ม.2
ซึ่งถ้าหากมองโดยเผินๆ แล้ว
คนไข้นั้นดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่ทำให้ต้องเข้ารับการตรวจรักษา
คุณหมอได้เล่าให้ฟังว่า เท้าทั้งสองข้างของคนไข้นั้นมีสภาวะ
Hyperpronation หรือในอีกชื่อหนึ่งก็คือ Flat feet (เท้าแบน)
มีการคาดการณ์ว่า กว่า 60 - 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วไป
ต่างมีสภาวะเท้าแบนกันทั้งสิ้น
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สภาวะเท้าแบนนี้จะก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตตามปกติ
ในกรณีของคนไข้คนนี้ จากการสอบถาม พบว่า
เวลาเดินจะมีอาการเจ็บบริเวณใต้ต่อตาตุ่มด้านใน (Medial Malleolus)
ของเท้าทั้งสองข้าง เป็นตำแหน่งของเส้นเอ็น Posterior Tibialis
และเริ่มมีอาการเจ็บแบบนี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
คุณหมอได้เริ่มจากการให้คนไข้เดินไปกลับเป็นแนวตรงระยะทางประมาณ 5
เมตร เพื่อสังเกตการณ์ทำงานเชิงกลศาสตร์
(Biomechanics)ของช่วงล่างของร่างกาย (Lower Extremity)
จากการสังเกตพบว่า นอกจากสภาวะเท้าแบนแล้ว
คนไข้ยังมีการโค้งเข้าหากันอย่างผิดปกติของหัวเข่าหรือที่เรียกกันว่าสภาวะ
Knock-Knee อีกด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการคนไข้มีสภาวะเท้าแบนนั่นเอง
คุณหมอยังบอกว่า หากปล่อยทิ้งเอาไว้
คนไข้มีโอกาสที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมเมื่อสูงวัยขึ้นได้
หลังจากนั้นคุณหมอได้ทำการตรวจ Harris Mat กับคนไข้
ซึ่งการตรวจนี้เป็นการตรวจเพื่อดูการกระจายน้ำหนัก (Pressure)
ของร่างกายสู่เท้าทั้งสองข้างในเวลาเดิน
โดยการตรวจจะให้คนไข้เดินตามปกติผ่านแม่พิมพ์ที่ทาหมึกเพื่อทำให้หมึกกระจายสู่กระดาษที่ถูกรองไว้ด้านใต้แม่พิมพ์นั่นเอง
ภาพที่ 1 การตรวจ Harris Mat
เราจะสามารถสังเกตได้ชัดว่าน้ำหนักนั้นลงไปที่บริเวณใดของเท้าเป็นพิเศษจากความเข้มของหมึกที่ถูกพิมพ์ลงไป
หากเข้มมากก็แสดงว่ามีการกระจายน้ำหนักลงไปยังส่วนนั้นมาก
ซึ่งในกรณีของคนไข้คนนี้
มีการกระจายน้ำหนักมากเพิ่มขึ้นจากเท้าปกติไปยังส่วนของเท้าด้านใน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด้านในของหัวแม่เท้าทั้งสองข้าง
ภาพที่ 2 แสดงการกระจายน้ำหนักที่ผิดปกติของโรคเท้าแบน (1)
เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจทั้งสองอย่างข้างต้นแล้ว
คุณหมอได้ส่งต่อคนไข้ไปทำการเอ็กซ์เรย์เท้าทั้งสองข้างในท่ายืน
เนื่องจากมีความสงสัยว่า อาจจะมีกระดูกงอก (accessory navicular)
ที่เท้าได้ ผลการตรวจเอ็กซ์เรย์พบว่า เท้าข้างซ้ายมีกระดูกงอกเกินมา
แต่ไม่มีอันตรายหรือส่งผลกระทบอะไรต่อร่างกาย จึงไม่แนะนำให้ผ่าตัด
ทั้งนี้คุณหมอยังได้อธิบายเสริมอีกว่า
กระดูกงอกนั้นมักจะพบเป็นปกติในคนไข้ที่มีสภาวะเท้าแบน
จากการตรวจวินิจฉัย คุณหมอจึงเสนอให้คนไข้ใช้แผ่นรองเท้า (insoles)
เพื่อทำการรักษาสภาวะเท้าแบน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คนไข้ยังอายุน้อยๆ อยู่
กระดูกในเท้ายังไม่เจริญและแข็ง
หากใช้แผ่นรองเท้าเสริมเข้าไปในรองเท้า
เพื่อบังคับให้เท้าอยู่ในสภาวะที่แบนน้อยลง
นอกจากนี้แล้วตัวรองเท้าเองยังจำเป็นต้องมีการ support
ที่ดีในเวลาเดินอีกด้วย
คุณหมอจึงแนะนำให้คนไข้เปลี่ยนมาใช้รองเท้าบู๊ตแทนรองเท้านักเรียนที่ใช้อยู่ตามปกติ
และเมื่อกระดูกในเท้าเริ่มเMature แล้ว
ก็จะสามารถเปลี่ยนกลับมาใช้รองเท้าทั่วไปได้อีกครั้งหนึ่ง
ภาพที่ 3 ช่างทำรองเท้าขณะพูดคุยทำความเข้าใจกับคนไข้เกี่ยวกับลักษณะของรองเท้า
หลังจากนั้นคุณหมอจึงได้ทำการตรวจเท้าทั้งสองข้างของคนไข้
เพื่อหาจุดที่ผิดปกติและทำให้เกิดอาการเจ็บ
และทำเครื่องหมายบนเท้าของคนไข้
เพื่อที่จะใช้เป็นจุดอ้างอิงในการทำแผ่่นรองเท้าในขั้นตอนต่อๆ ไป
การทำแผ่นรองเท้านั้น ต้องอาศัยการตรวจวัดเท้าที่แม่นยำ
การตรวจวัดเท้าโดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งจะทำการเก็บรูปเท้า
(Surface Scan) ในรูปแบบที่เป็นสามมิติ (3D model)
เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะเพิ่มความสามารถในการตรวจวัด
และความถูกต้องแม่นยำให้มากยิ่งขึ้น
ภาพที่ 4 ผลลัพธ์จากเครื่องสแกนสามมิติ
โดยผลลัพธ์ที่ได้ จะได้ในลักษณะเดียวกับ Foam box
ที่ใช้ตรวจวัดอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อประเมินสร้างแผ่นรองเท้าที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
เนื่องจากโครงสร้างเท้าของแต่ละบุคคลมีขนาด
รูปแบบและโครงสร้างกระดูกที่แตกต่างกัน
โดยที่เท้านั้นเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักทั้งร่างกาย
การดูแลสุขภาพเท้าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ภาพที่ 5 Foam box ที่ใช้ในการเก็บรูปเท้าของคนไข้แต่ละคน
ช่วยกันเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพเท้ากันนะครับ