ความฉลาดทางด้านร่างกาย (Physical Quotient)


เขียนโดย วิเชียร ไชยบัง
   ต่อจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ผมได้กล่าวถึงว่าอะไรคือความสำเร็จของการจัดการศึกษา ซึ่งแยกหยาบๆ ได้เป็นสองอย่างคือปัญญาภายนอกและปัญญาภายในวัน นี้จะขอกล่าวถึงความฉลาดทางด้านร่างกายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญญาภายนอก ที่หมายถึงเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถดูแลและใช้กายอย่างมีคุณภาพมีความแข็งแรงอดทน อวัยวะทุกส่วนทำงานอย่างสอดประสานกัน
นับย้อยจากอดีต มนุษย์ต้องมีร่างกายแข็งแรงกำยำถึงจะอยู่รอดได้ มนุษย์เราใช้ศักยภาพทางร่างกายเพื่อหาอาหาร สร้างที่อยู่อาศัยหนีภัยหรือ ปกป้องตัวเองปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้ร่างกายต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนในอดีต ตื่นเช้ามาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาอาหารหรือหนีภัย การเดินทางหรือทำกิจกรรมต่างๆ ก็มีเครื่องมือช่วยให้เบาแรง ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของวันหมดไปกับการนั่งทำงาน เราใช้สมองกับนิ้วมือไม่กี่นิ้ว แน่ล่ะว่าศักยภาพทางร่างกายหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกใช้จะลดทอนลง เช่น ความแข็งแรงของกระดูก  ความยืดหยุ่นของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อลีบเล็ก ส่วนสายตาที่ใช้จับจ้องอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์มากขึ้นก็จะสูญเสียได้ง่ายขึ้น
พฤติกรรมชีวิตที่มีการเคลื่อนไหวน้อยลงและการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงทำให้ จำนวนคนเป็นโรคอ้วนมากขึ้น โรคภัยที่รุมเร้าก็เป็นภาระที่ประเทศต้องระดมสรรพกำลังเข้าแก้ไข 
บทบาทของโรงเรียนต่อการสร้างความฉลาดทางด้านร่างกาย 
1. การออกแบบการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติให้ได้ใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ทั้งในแง่ของความแข็งแรงอดทนและในแง่ของการทำงานที่สอดประสานกัน ทั้งในร่มและกลางแจ้ง  
2. ออกแบบวิถีชีวิตในโรงเรียนให้เด็กๆ มีช่วงเวลาได้เล่นหลายๆ ช่วงเวลา  เช่น ภาคเช้า ช่วงพักภาคเช้า กลางวันและหลังเลิกเรียน
3. ออกแบบการสอนวิชาพละศึกษาหรือกิจกรรมให้สอดคล้องกับการต้องการการพัฒนาทางด้านร่างกายของเด็กให้เหมาะสมตามวัย   
-  วัยอนุบาลควรให้เด็กได้ออกกำลังกายเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ ความสมดุล การทรงตัว  ความแข็งแรง ความอดทน และ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กเพื่อการทำงานที่สอดประสานกันของอวัยวะต่างๆ  กิจกรรมที่เหมาะสมได้แก่  การว่ายน้ำ  กิจกรรมประกอบจังหวะ  กายบริหาร  เกม  การวิ่งเล่น  การเล่นเครื่องเล่นสนามที่ประกอบด้วยกระบะทรายเปียก  ทรายแห้ง  กระดานทรงตัว  ราวโหนหรือเชือกโหน  ชิงช้า  และ อุโมงค์มุดซ่อน  เป็นต้น
-  ระดับประถมศึกษาตอนต้น  ให้เด็กได้ออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกายเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว  ควรให้เล่นกีฬาที่ไม่มีความซับซ้อนมาก
-  ระดับประถมศึกษาตอนปลายถึงระดับมัธยม  ให้เด็กได้ออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกายเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว  เพิ่มสมรรถภาพทางร่างกาย  และพัฒนาทักษะทางกลไกให้ทำงานสัมพันธ์กัน  ให้เด็กได้เล่นกีฬาได้แทบทุกประเภท   
   ผมมีบทเรียนให้ต้องกลับมาใคร่ครวญในเรื่องการสอนกีฬาในโรงเรียน  สมัยผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นครูที่จบพลศึกษาโดยตรงได้สอนเราในวิชาตะกร้อไทย  ในหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่เราต้องเรียนวิชานี้ครูวางขั้นตอนของกิจกรรมไว้ตามแบบแผนคือขั้นของการอบอุ่นร่างกายหรือ warm up 15 นาที  ขั้นสอนหรือสาธิต 15 นาที  ขั้นลงมือปฏิบัติ 15 นาที่  ขั้นสรุปหรือwarm down อีก 15 นาที   ในชั่วโมงหนึ่งๆ ของวิชาตะกร้อผมแทบนับได้ว่าเท้าของผมโดนลูกกี่ครั้ง  ผ่านไป 20 สัปดาห์เมื่อผมเรียนจบวิชานี้ผมไม่ได้มีทักษะการเล่นตะกร้อเพิ่มขึ้น  ไม่ได้มีเจตคติที่ดีต่อการเล่นตะกร้อเพิ่มขึ้น และผมได้มาเพียงเกรด 1     
ในโรงเรียนนอกกะลา  เราไม่นำกีฬามาแค่สอนเพื่อให้เกรด  แต่เราใช้กีฬาเป็นเครื่องมือให้เด็กๆ ได้เล่นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน  เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน  เพื่อเพิ่มพูนกลไกการคิดการวางแผน และ เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแรงความอดทนของร่างกาย  ที่สำคัญคือให้เด็กทุกคนได้รักในการออกกำลังกายเพื่อความมีสุขภาพดี
กรุงเทพธุรกิจ  กายใจ ฉบับที่65   21-27 สิงหาคม 2554
หมายเลขบันทึก: 459136เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2011 14:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 18:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณ บันทึกความรู้ที่อ่านแล้ว ได้ประโยชน์มากเลยนะครับครูราชิต

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท