อบรมหลักสูตร "ป.โท ผู้บริหารปฐมภูมิ..ผู้นำการเปลี่ยนแปลง" ตอนที่ 4.1 อาจารย์ชนวนทอง "community empowerment" ตามอ่านตอนที่แล้วได้ครับ
ที่ค้างกันไว้เรื่อง การสนทนาที่ว่าด้วยเรื่อง KM ในห้องเรียนนี้เมื่อเดือนก่อนได้เฉี่ยวไปถึงเรื่อง knowledge Management ที่เป็นกระแสเรื่องนี้ อาจเป็นที่มาของ blog นี้ด้วยนะครับ
อาจารย์ชนวนทอง "เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า การทำ KM ในเมืองไทยตอนนี้ทำกันมาก แต่อาจมีการพัฒนาองค์ความรู้ได้ไม่มากนัก อาจจะมีการเล่าเรื่องเล่าประสบการณ์และชื่นชมกันได้ ให้กำลังใจกัน "
"การที่จะสร้าง implicit knowledge ใหม่ต้อง review explicit ที่มีอยู่ในปัจจุบันเสียก่อน"
"สิ่งที่เราทำในวันนี้ อาจไม่ใช่คนแรกที่มีประสบการณ์นี้"
(หลังผมได้ฟังความเห็นของอาจารย์ก็รู้สึกว่า อาจารย์น่าจะเห็นประเด็นอะไรบางอย่าง ผมเลยแหย่ตัวกวนเข้าไปเพื่ออยากให้อาจารย์ขยายความ)
ผม "อาจารย์มีความเห็นอย่างไร กับคำกล่าวที่ว่า การเกิดองค์ความรู้ใหม่ การแก้ไขปัญหาใหม่ๆ(paradigm shift) ไม่สามารถเกิดจากฐานความคิดเดิมๆ (old paradigm) "
อาจารย์ตอบได้น่าสนใจครับ "คุณหมอหมายความว่า หากเราอ่านหรือทบทวนองค์ความรู้ในอดีตมาจะทำให้เรา bias ในการคิดหรือไม่...อันนี้ยกตัวอย่างนะคะ...วันนี้อาจารย์มาสอนพวกเราที่นี่ อาจารย์หาข้อมูลลูกศิษย์ทุกคนเพื่อจะได้รู้ background (สิ่งเก่า)เพื่อจะได้สอนในสิ่งที่พวกเราได้ประโยชน์จากอาจารย์ (สิ่งใหม่)"
ผมเองก็ถึงบางอ้อแล้วย้อนนึกว่า "คนไทยเราอ่านหนังสือน้อยเกินไปมันเป็นอย่างนี้นี่เอง....อาจารย์มิได้อ่านแค่ตำรา..แต่ review literature เพื่อ gain main idea for the new paradigm เราจะทำ paradigm หใม่ได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจ paradigm เก่า"
นึกไปถึงพระอาจารย์ไพศาลเคยฟังท่านเรื่อง "สีลพฺพตปรามาส" การยึดแต่ว่าวิธีคิดแบบเดิมๆ โดยที่ไม่เข้าใจว่าที่แท้จริงแล้วองค์ความรู้เดิมมีนั้นมีจุดมุ่งหมายใด..องค์ความรู้นั้นมีบริบทอย่างไร อันนี้เป็นเครื่องขัดขวางปัญญา เหมือนนัก เช่นนักวิทยาศาสตร์พอเจอทฤษฏีใหม่ก็ดีใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีคนคิดทฤษฎีใหม่ก็ขัดแย้งกัน......แต่ที่ชัดเจนคือ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกเหล่านี้จะพิสูจน์ศึกษาทฤษฎีเก่าจนแน่ใจว่ามันคือทางตันจริงๆจึงเริ่มหาทางออกใหม่ๆ
หมายเหตุ: "สีลพฺพตปรามาส" แปลว่าความยึดถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตร (คือ ถือว่าเพียงประพฤติศีลและวัตรให้เคร่งครัดก็พอที่จะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่ต้องอาศัยสมาธิและปัญญาก็ตาม ถือศีลและวัตรที่งมงาย หรืออย่างงมงายก็ตาม), ความถือศีลพรตโดยสักว่า ทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายที่แท้จริง, ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่า จะมีได้ด้วยศีลหรือพรตอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงธรรมดาวิสัย (ข้อ ๓ ในสังโยชน์ ๑๐) (ป.อ. ปยุตฺโต)
ผมถามต่อ
ผม "อาจารย์คิดว่า KM ไทยเราขาดอะไร...ซึ่งถ้าทำแล้วจะช่วยให้ KM เมืองไทยมีการพัฒนา"
อาจารย์ชนวนทอง "ที่เมืองไทยขาดน่าจะมีสองจุดหลัก คือ การสกัด องค์ความรู้จากเรื่องราวมากมายที่แลกเปลี่ยน...อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ ต่อการพัฒนาองค์ความรู้คือ การ-จัด-การ ที่ผ่านมาเราบอกว่าจะจัดการความรู้ หากแต่ความรู้ที่มีอยู่ เกิดๆมาแล้วไม่มีใครมาช่วยสกัดแล้วจัดการมันเลย....การจัดการคือ นำองค์ความรู้ที่มี ไปทำให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเผยแพร่ หรือ นำๆไปใช้จนเป็นรูปธรรม...."
ชั่วโมงนี้มันมากครับ แซบอย่าบอกใคร ขอบคุณอาจารย์ชนวนทองที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ผมครับ
ขอบคุณบันทึก บทสนทนาที่น่าสนใจมากคะ
อาจารย์หาข้อมูลลูกศิษย์ทุกคนเพื่อจะได้รู้ background (สิ่งเก่า)เพื่อจะได้สอนในสิ่งที่พวกเราได้ประโยชน์จากอาจารย์ (สิ่งใหม่)
ได้เห็นแง่มุม ว่าความรู้เดิมจะขัดขวางหรือส่งเสริมความรู้ใหม่..ขึ้นกับการใช้คะ
หากใช้เพื่อเป็นฐาน - เข้าใจสัจธรรมของความรู้ - ก็ได้ต่อยอดสิ่งใหม่
หากใช้เป็นหลังคา - ยึดวิธีปฎิบัติ ยึดวิธีคิด ยึดอัตตา- ก็อดได้รับสิ่งใหม่
แม้ในขณะอ่านนี้ ก็ต้องเตือนตนให้รื้อหลังคาออกคะ :-)
@ แต้session นี้สนุกมากจริงๆ นะเพราะว่า สิ่งที่อาจารย์โยนเข้ามาในวงมันต่างกับที่เรารู้และเชื่อ บางครั้งคิดต่างอย่างคนละขั้ว แต่เมื่อได้แลกเปลี่ยน อาจารย์ชนวนทองพูดประเด็นนี้ตอนที่พูดถึง
vicarious experience (ความรู้มือสอง) ทำอย่างไรให้มาเป็นความรู้ที่เป็นจากประสบการณ์ของเรา experiencial learning และจะทำอย่างไรให้เกิด mastery learning (เรียนแบบเป็นนายตนเอง)
อ่านเรื่องเล่าที่คุณหมอเก็บมาฝากก็มีประเด็นให้คิดต่อเยอะเลยค่ะ
นอกเหนือจากการอ่านแล้ว การเขียนเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ ก็ยังผลักดันให้เกิดขึ้นยาก จริงๆ แล้ว วาระการเขียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้น่าจะเป็นวาระแห่งชาตินะค่ะ ^^
มะปรางเปรี้ยวครับ
นอกเหนือจากอ่านเขียนแล้ว ที่น่าสนใจอีกอย่างเมื่อไม่รักการอ่านก็ไม่รักการเขียนไปด้วยเป็นลูกโซ่ และผมว่ายุค computer ทำให้ข้อมูลหมุนเร็วและมีมากจนใช้วิจารณญาน ไม่ทัน
ดี ๆๆ มากมาย เสริมสร้างความรู้ใหม่และกว้างขวางกว่าเดิม
เข้าใจพาราไดม์เก่า..เพื่อออกจากพาราไดม์เก่า..!!
การจะออกจากทุกข์
ต้องรู้ทุกข์
เข้าใจเหตุของทุกข์
จากนั้นดำเนินตามทางปฏิบัติที่ไปสู่การออกจากทุกข์
ก่อนจะออกจากปัญหา ต้องเข้าใจปัญหา..!!
นมัสการพระวิสัน และสวัสดีคุณ ผู้เดินทางครับ
ยกความดีนี้ให้กับปราช์ญท่านนี้ครับ อาจารย์ชนวนทอง