การดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ ๓ เมื่อแม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ(ความพ่ายแพ้ที่ไม่พ่ายแพ้)
๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๔ ๗ วันแล้วที่แม่ต้องอยู่ในความดูแลของหมอโรงพยาบาลปรางค์กู่อย่างใกล้ชิด สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือแม่ติดเชื้อในกระแสเลือด หมอให้ยาครบ ๗ วันแม่ยังมีอาการไข้บ้าง ที่สำคัญที่สุดคือ น้ำตาลของแม่ขึ้นลงตลอดเวลา(คนปกติ ๘๐-๒๐๐) แต่บางวันปกติ บางวันขึ้นกว่า ๒๐๐ บางครั้งลดเหลือ ๖๐ จึงทำให้แม่รู้สึกเหนื่อย มีไข้ แต่แม่ก็ยังรู้สึกดี น้ำเกลือหมดก็บอกให้คนเฝ้าไปบอกหมอ หรือเวลาผู้เขียน พี่น้องอยู่ด้วยก็ให้หาของฝากมาให้หมอพยาบาล(ของกินเล็กๆน้อยๆ) จึงเป็นนิสัยที่ของแม่ชอบทำในการให้บริการ หรือให้คนอื่นอยู่ตลอดชีวิตที่เห็นแม่ทำอย่างนี้
การดูแลแม่วันนี้อาการปวดหลังของแม่ก็ยังปวด แต่ให้ยาบรรเทาปวดด้วยการพ่น กิน ทำให้แม่ไม่รู้สึกปวดมากนัก ลุกนั่งกินข้าวได้แต่แม่ก็ชอบที่จะนอนมากกว่า แววตาของแม่ช่วงนี้ทำให้ลูกๆรู้สึกกังวลเมื่อเห็นแม่มีความหวาดวิตก แต่แม่ก็มีกำลังใจ ไหว้พระก่อนนอนทุกวันแม้ว่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล ญาติๆมาเยี่ยมให้กำลังใจ ทำให้ให้แม่รู้สึกดี สดชื่นและความจำยังดี
วันนี้แม้แม่ล่วงวัย ๘๕ ปี “การเกิด แก่ เจ็บ ตาย” เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชีวิต ในความ “พ่ายแพ้”ที่แพ้ต่อ “สังขาร”แต่ลูกๆทุกคนมั่นใจว่าลูกๆไม่ได้ “พ่ายแพ้ต่อความดีงามที่มีต่อแม่” และ “แม่”ก็”ไม่ได้พ่ายแพ้ต่อความดีงามที่ทำและสั่งสมมาทั้งชีวิต” เพราะวันนี้แม่ยังเป็นผู้ให้ เป็นพุทธมามะกะ ที่พร้อมที่จะบำรุงศาสนา ยังละลึกถึงคุณบิดามารดา ยังอุทิศ บุญกุศล คุณงามความดีสำหรับผู้มีพระคุณและคนรอบข้างมิได้ขาด ตลอดชีวิตแม่ แม่ไม่เคยทะเลาะกับใคร ไม่เคยมีปากเสียงกับใคร แม่จะประพฤติในสิ่งดีงาม ในความเป็น “แม่”ที่มีต่อลูก วันนี้ “แม่ แม้จะพ่ายแพ้ต่อสังขาร แต่ แม่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อความดีงาม”
จึงเป็นความรู้สึกของลูกคนหนึ่งที่ได้พูดได้เขียน ได้บอกความรู้สึกถึงความดีงามของแม่ ขณะที่แม่ยังนอนป่วยที่โรงพยาบาล ด้วยความหวัง “แม่จะกลับบ้าน” ด้วยความหวังที่แม่จะกลับมาอยู่ใน “อ้อมกอด” ของลูกอีกครั้งหนึ่ง เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา
มาให้กำลังใจคะ
การมีครอบครัวอยู่ใกล้ในช่วงวิกฤติ
เป็นสิ่งมีค่าสำหรับผู้ป่วย
ขอบคุณคะที่แบ่งปันเรื่องราง
ยิ้มสู้ !!
:)