เรียน อาจารย์เสรี
สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นหมากรุกของผมนั้น ก็ไม่มีอะไรมาก คือผมสนใจเล่นหมากรุกมาตั้งแต่ราว ๆอายุ 15 หรือ 16 ปี เห็นจะได้ ตอนนั้นบ้านผมอยู่ข้างวัด ว่าง ๆ ก็เข้าไปเดินเล่นในวัด เห็นคนแก่ ๆ เขานั่งโขกหมากรุกกันสนุกสนานดี ก็เลยขอให้เขาแนะนำว่าเล่นอย่างไร พอเล่นเป็นก็ขอซ้อมมือกับท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย เขาเห็นเป็นเด็กหัดใหม่ก็ต่อให้ เริ่มแต่ลดเรือให้สองลำบ้าง ลดม้าลดเรือให้อย่างละตัวบ้าง เล่นบ่อย ๆเข้าฝีมือก็กล้าแข็งขึ้นทุกที บ้านช่องไม่ยอมกลับ นาน ๆ ไปเลยเลื่อนฐานะตัวเองจากเด็กข้างวัด เป็นเด็กวัดไปเสียเลย เพราะท่านพระครูเห็นหน่วยก้านท่าทางเข้าทีท่าเลยชวนไปเป็นลูกศิษย์ จะสอนวิชาหมอดูและโหราศาสตร์ให้ พ่อแม่ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร เพราะมีลูกสิบคนไปเป็นเด็กวัดเสียหนึ่งคนลดค่าใช้จ่ายในบ้านได้มากพอใช้ วันพระวันโกนพระบิณฑบาตได้ของล้นบาตรยังแอบใส่ถุงเอามาให้พี่ ๆ น้อง ๆ ที่บ้านกินด้วย เมื่อวิชาหมากรุกแก่กล้าขึ้นจนปราบมือหมากรุกในวัดได้ ผมก็ไปเล่นกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน มีคนฝีมือดีหลายคน ต่อสู้กันมันมาก ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มีเพื่อนคนหนึ่งมันไม่ยอมแพ้ พอรู้ว่ามันแพ้แน่ ๆ มันล้มกระดานเสียเลย คือโยนกระดานหมากรุกคว่ำลงบนพื้น ถึงขั้นต้องไล่เตะสั่งสอนให้รู้จักแพ้รู้จักชนะเสียบ้าง ปัจจุบันเพื่อนคนนี้เป็นผู้พิพากษาศาล อุทธรณ์ แต่โดยที่มันเป็นคนใจร้อนโมโหง่าย มีอยู่วันหนึ่งมันเถียงกับสารวัตรตำรวจเรื่องคดีรายหนึ่ง พูดกันไม่เข้าใจมันเลยต่อยเข้าหมัดเดียว สารวัตรถึงกับกรามหักสลบคาหมัด ส่วนเจ้าเพื่อนผมถูกตั้งกรรมสอบสวนก็เลยลาออกจากผู้พิพากษา ไปเป็นทนายความ ปัจจุบันอายุ 86 แล้ว ยังมีสุขภาพดี พบกันทีไรผมก็ถามมันว่าทำไมถึงไปต่อยตำรวจหมัดเดียวกรามหักสลบวะ มันบอกว่าก็กูตัวเล็กกว่าตำรวจคนนั้นตั้งแยะ มันเป็นเพื่อนกูเองและมันเรียนการต่อสู้มา กูเรียนแต่กฎหมาย ถ้าต่อยกันยืดเยื้อมันเอาก็ถึงขั้นหยอดข้าวต้มแน่ เพราะฉะนั้นกูต้องเอามันให้หมอบในหมัดเดียว กูเล็งที่กรามมัน ซัดเข้าหมัดเดียวสุดแรงเกิดจนข้อมือซ้น มันนึกไม่ถึงว่ากูจะต่อยมันจริง ๆ จึงไม่ระวังตัว
ต่อมาเมื่อเข้าเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็ไม่ได้เล่นหมากรุกอีกเลย เมื่อสอบทุนรัฐบาลไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ลองฝึกเล่นหมากรุกสากล เพื่อเอาไว้ไปเล่นกับฝรั่ง แต่ฝีมือฝรั่งที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันมันไม่ค่อยเก่ง ขนาดผมเพิ่งหัดเล่นมันยังผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ไม่ค่อยได้เล่นบ่อยนัก เพราะต้องเรียนหนักมาก เพราะเราเป็นคนไทย ภาษาอังกฤษยังไม่เชี่ยวชาญเหมือนพวกฝรั่ง ขืนเล่นหมากรุกมาก ๆ เข้าเรียนไม่จบแน่
เรียนจบแล้วกลับมารับราชการชดใช้ทุน ก็ไม่ได้เล่นหมากรุกอีกเลย รวมเวลาที่หยุดเล่นหมากรุกตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย จนถึงเกษียณอายุราชการนานกว่าหกสิบปีเห็นจะได้ ครั้นปลดเกษียณแล้วเกิดปัญหาเรื่องสุขภาพ คือพออายุเจ็ดสิบกว่าเส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีก (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์) พยายามรักษาตัวจนเกือบหายก็มีอาการเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหมดทุก เส้น ทำท่าจะสิ้นลมหายใจแล้ว พอไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดตีบตันสามเส้น เหลืออยู่เส้นหนึ่งตีบไปแล้ว 99 เปอร์เซ็นต์ หมอสั่งผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดใหม่หมดทั้งสี่เส้น (ทำบายพาส) เมื่อปีที่แล้วนี่เอง รอดตายมาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไปไหนไม่ได้ เพราะสุขภาพชำรุดทั้งเส้นเลือดสมอง และเส้นเลือดหัวใจ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านสมองก็เสื่อมลงทุกที พยายามหาทางฝึกสมองให้คิดทำอะไรให้มาก ๆ จะเป็นการป้องกันสมองเสื่อมได้ วิธีที่จะให้สมองมีงานทำคือเล่นหมากรุก ก็เปิดคอมพิวเตอร์หาโปรแกรมหมากรุกมาเล่น ตอนแรกได้โปรแกรมจากกลุ่มพันธ์ทิพย์ แต่เล่นง่ายมาก เล่น หนึ่งร้อยเกมชนะหมดทุกเกม ยิ่งเล่นสมองยิ่งแย่ลงทุกทีเพระแทบไม่มีปัญหาให้คิดแก้ไขเลย ต่อมาไปค้นเจอโปรแกรมชื่อ หมากรุก 5 เกมส์ของอาจารย์เสรีเข้า ก็โหลดเข้ามาเล่น คราวนี้ได้ผล เพราะมีทั้งที่ง่ายจนแทบใม่ต้องใช้สมองแก้ปัญหาเลย จนถึงขั้นยากซึ่งมีตั้งแต่ขั้นยากปานกลางจนถึงยาก ที่สุด ขนาดผมเล่น100 กระดาน จะแพ้เสีย 90 กระดาน เสมอ 9 กระดาน ชนะกระดานเดียวเท่านั้น (คือผมนั่งเล่นวันละเกือบสิบชั่วโมง ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งเล่นหมากรุกหน้าคอมพิวเตอร์
เรื่องราวก็มีเท่านี้แหละครับ ผมเล่นเพื่อลับสมอง ไม่หวังไปแข่งขันที่ไหนหรอกอาจารย์ กติกาเขามีอย่างไรในการแข่งขันชิงแชมป์ผมไม่สน ผมเล่นตามสบาย ๆ ไม่จับเวลา เดี๋ยวนี้ผมอายุย่างเข้า 82 ปีแล้วครับแต่ฝีมือของผมยังอยู่ในขั้นหัดใหม่เหมือนเดิม เจอเซียนเมื่อไหร่ผมแพ้กราวรูดเลย
หากอาจารย์ต้องการทราบประวัติการทำงาน, การศึกษาของผมลองพิมพ์ชื่อของผมลงไปในกูเกิ้ล ให้มันเซิร์จให้ซิครับ ไม่รู้ใครเอาไปลงไว้ หรือเข้าไปใน google + หรือ facebook ก็ได้ครับ
ไม่มีความเห็น