เมื่อหมอบอกว่าเขามีชีวิตเหลือ ๑๐๐ วัน


บันทึกของ สุทธิชัย หยุ่น

 

เขาอายุเพียง ๕๓, เป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทตรวจบัญชียักษ์ “KPMG” ของสหรัฐฯ,
ได้รับเงินเดือนอันดับต้น ๆ ของสุดยอดนักบริหารมะกัน, กำลังอยู่จุดสูงสุดของอาชีพ...กำลัง
เตรียมเดินทางรอบโลก,  เตรียมไปร่วมงานวันแรกของลูกสาวขึ้นเรียนชั้นมัธยม, ทุกอย่างกำลัง
เป็นไปอย่างเฟื่องฟู

และวันดีคืนดี, หมอก็ตรวจพบว่านาย “ยูจีน โอ’เคลลี่” (Eugene O’Kelly) มีมะเร็งใน
สมองและอยู่ในขั้นสุดท้ายเสียด้วย

หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๓ ถึง ๖ เดือน

ไม่ต่างอะไรกับสวรรค์อับปางลงต่อหน้าต่อตา, ความฝันทุกอย่างที่มีสำหรับตัวเองและครอบครัว
พังสลายลงมาฉับพลัน

ยูจีนตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมนอนรอวันตาย, เขาตัดสินใจปรับแผนชีวิตเพื่อให้ไม่กี่สิบวันของชีวิต
ที่เหลือมีความหมายที่สุด

ผมรู้จักเขาจากหนังสือ “Chasing Daylight” (“ไล่ล่าแสงตะวัน”) ที่ออกขายมาในอเมริการะยะหนึ่งแล้ว  เป็นหนังสื่อที่เขาเล่าชีวิตวันต่อวันจนถึงวันสุดท้าย โดยมีบทส่งท้ายเขียนโดยภรรยาที่ชื่อ “คอรีนน์” ซึ่งเป็นทั้งเงาประจำตัวและเป็นพยาบาลตลอด ๒๔ ชั่วโมงที่เล่าถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตของสามี

เรื่องราวน่าทึ่งของนักธุรกิจใหญ่ที่ต้องเผชิญกับ “กำหนดตารางวันตาย” นี้เป็นการบันทึก “การ
เดินทางวาระสุดท้าย” อย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว

ภายใต้ชื่อหนังสือนั้น, คนเขียนอธิบายว่ามันคือเรื่องราวส่วนตัวที่เล่าขานอย่างละเอียดละออว่า
ความตายที่กำลังจะมาถึงไปปรับเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไรบ้าง

ทันที ที่หมอบอกว่าผมจะมีชีวิตอยู่อีก ๓ ถึง ๖ เดือน, ผมก็ถามตัวเองว่า “ทำไมช่วงสุดท้ายของชีวิตคนเราจะต้องเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุด?”

เขาบอกตัวเองว่าเขาจะทำให้วันเวลาช่วงสุดท้ายก่อนตายนั้นเป็น “ประสบการณ์ทางสร้างสรรค์
ที่ควรจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต
” ให้ได้

เมื่อมีเวลาไตร่ตรองและพูดคุยกับตัวเองเพียงพอ, ยูจีนก็บอกว่าถือว่าเป็น “โชคดี” ที่เขารู้ล่วงหน้า
ว่าจะตาย เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเวลาคิดถึงความตายของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ เพราะมันมา
อย่างรวดเร็ว, กระทันหัน, และเจ้าตัวตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำไป

หมอบอกเขาว่ามะเร็งในสมองของเขาส่วนนั้นจะไม่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมากนัก ความเสื่อม
ของสมองมาค่อย ๆ มาในรูปของเงามืด สายตาจะพร่ามัว และเมื่อถึงเวลาอาการก็จะทรุดเข้าสู่
โคม่า ความมืดของกลางคืนจะมาถึง และเขาก็จะตาย

เขานับนิ้วแล้วว่าจะเหลือชีวิตเพียง ๑๐๐ วัน

เขาย้อนมองชีวิตการทำงานเขาแล้วก็ปลงว่าเขาไม่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว, ไม่ค่อยได้กลับ
บ้านกินข้าวเย็นกับภรรยาและลูก, แม้ลูกจะอ้อนว้อนขอร้องให้เขาไปร่วมงานโรงเรียนของลูก
เพราะพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ต่างก็ไปร่วมทั้งนั้น, เขากลับอ้างว่ามีนัดหมายเรื่องงานการที่ไม่อาจจะ
ไปเป็นเพื่อนของลูกได้

ยูจีนนั่งเสียใจว่าเขาใช้ชีวิตอย่าง “นักธุรกิจที่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว” ทั้ง ๆ ที่เขาอ้างว่าที่เขา
ทำงานหามรุ่งหามค่ำ, ต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงขึ้นและได้รายได้เพิ่มพูนขึ้นนั้นก็เพราะ
เขารักครอบครัว

ในฐานะซีอีโอของบริษัทใหญ่ที่มีพนักงานถึง ๒๐,๐๐๐ คน, ผมมีสิทธิ์พิเศษมากมาย แต่งาน
ใน ตำแหน่งนั้นก็กดดันให้ผมต้องทำงานอย่างบ้าเลือด ปฏิทินงานการของผมกำหนดไว้ ๑๘ เดือนล่วงหน้า ผมเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว ๑๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมงตลอดเวลา, ผมทำงานตลอดเวลา, แม้วันสุดสัปดาห์ก็ไม่ได้เว้น, กลางดึกกลางดื่นผมก็ยังทำงาน, ผมไม่เคยได้ไปงานโรงเรียนของลูกสาวคนเล็กของผมเลย สิบปีแรกหลังการแต่งงาน, ผมไม่เคยไปพักร้อนกับภรรยาเลย
...”

แต่เขารู้วันที่เขามีชีวิตเหลือไม่กี่เดือนว่านั่นเป็นข้ออ้างที่เขาไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก

ยูจีนตัดสินใจว่าเขาจะทำให้การจากโลกของเขาเป็น “ความตายที่ดีที่สุด” เท่าที่จะทำได้

เขาเรียกมันว่า “the best possible death

เขานั่งลงเขียน “สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย” อย่างนี้

๑. จัดแจงเรื่องกฎหมายและการเงินของตัวเองให้ครอบครัวให้เรียบร้อย
๒. “ร่ำลา” ครอบครัว, เพื่อนสนิท, และเพื่อนร่วมงาน
๓. ทำให้ทุกอย่างที่เหลือของชีวิตเป็นเรื่อง “ง่าย ๆ และสบาย ๆ”
๔. อยู่กับปัจจุบันทุกนาที
๕. สร้างและเปิดอารมณ์ให้รับ “นาทีอันสมบูรณ์” (“perfect moments”) ตลอดเวลาจนถึงลมหายใจสุดท้าย
๖. เริ่มต้นกระบวนการ “ผ่องถ่าย” ไปสู่ภาวะถัดไป
๗. เตรียมงานศพของตัวเอง

น่าแปลกว่าสำหรับคนที่ต้องรับการรักษาที่ทำให้ร่างกายต้องผ่ายผอมและสมองทำงาน
ช้าลงไปเรื่อย ๆ นั้น, ยูจีนสามารถทำตามตารางที่วางไว้ให้กับตัวเองเกือบทั้ง
หมด

ทุก วัน, เขาจะนั่งลงเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยปากกา เพราะสมองไม่พร้อมจะให้ใช้นิ้วพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้ และลายมือก็เริ่มจะเฉ ๆ ไฉ ๆ ไม่เป็นตัวหนังสือแล้ว แต่เขาก็มีความอดทนและมุ่งมั่นเขียนจนถึงอีกไม่กี่วันก่อนที่จะจากไปโดยมี ภรรยาของเขาเป็น “ผู้เขียนร่วม” เพื่อปิดฉากชีวิตด้วยหนังสือที่เขาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่เคย คิดว่าวันหนึ่งชีวิตอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายกับการ “สร้างเนื้อสร้างตัว” หรือ “สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว” นั้นจะต้องปิดฉากลงอย่างฉับพลันอย่างนั้น

ยู จีนร่ำลาเพื่อนฝูงด้วยการเขียนจดหมายไปขอบคุณเขาที่ได้เป็นเพื่อนอันแสนดี หรือเพื่อนร่วมกันที่น่ารัก....และบอกด้วยว่าเขากำลังจะจากโลกนี้ไปในเร็ว วัน ขอให้เพื่อนได้รับความขอบคุณจากเขาด้วย

หนึ่งในหลายร้อยฉบับที่เขาเขียนอำลาเพื่อนนั้นมีสั้น ๆ อย่างนี้

“ดั๊กเพื่อนรัก...

“เพื่อนคงได้ยินข่าวแล้ว, สุขภาพฉันย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะเจ้ามะเร็งปอดระยะสุดท้าย

“ที่ ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้มาก็เพื่อจะบอกเพื่อนว่ามิตรภาพของเราตั้งแต่เราเรียน ที่ Penn State ด้วยกันนั้นมีความหมายต่อชีวิตฉันอย่างมากทีเดียว

“ขอให้เพื่อนโชคดีในชีวิต
“ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเพื่อนด้วย
“ยูจีน...”

 

เขา นั่งลงกับลูกทีละคนเพื่อ “พูดจาสั่งลา” กันอย่างสนิทสนม อยากคุยเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอดีต, หรือสิ่งที่เคยทำด้วยกันหรือประสบการณ์อันน่าประทับใจที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน

ไม่ จำเป็นต้องเป็นการแสดงความอาลัยอาวรณ์, ไม่จำเป็นต้องเป็นการพูดคุยกันอย่างเป็น “สาระ” เกินไป...จะคุยอะไรก็ได้ระหว่างพ่อกับลูก, ลูก กับพ่อ, ผัวกับเมีย, เมียกับผัว...หัวเราะต่อกระซิก, กระเซ้าเย้าแหย่กันได้
ก็ยิ่งดี

และ สิ่งที่ยูจีนค้นพบที่สำคัญที่สุดก่อนหมดลมหายใจก็คือความสำคัญของการ “อยู่กับปัจจุบัน” หรือ here and now เพราะตลอดชีวิตของการทำงานนั้น, เขาไม่เคยอยู่กับตัวเอง, ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันเลย...มีแต่อดีตกับอนาคต

เมื่อเขารู้ว่าเหลือชีวิตเหลือเพียงแค่ประมาณ ๑๐๐ วัน, เขาจึงรู้ว่าการ “อยู่กับปัจจุบัน” นั้นมีความหมายอันลึกซึ้งเพียงใด


ที่มา เมื่อหมอบอกว่าเขามีชีวิตเหลือ ๑๐๐ วัน ของ สุทธิชัย หยุ่น

อ่าน เมื่อหมอบอกว่าอยู่ได้เพียง ๖ เดือน 

แล้วคุณจะตัดสินใจว่า คุณอยากจะเป็นแบบไหน ศาสนาของใครที่มีทางออก

พระอาจารย์จันทร์รู้ที่มาของโรค จากการปฏิบัติภาวนา จนเกิดปัญญาต่อรองกับสองสิ่งที่มีอยู่ในร่างกายของท่านว่า  เรื่องความตายเราไม่กลัว เพราะอย่างไรทุกชีวิตก็ต้องตาย แต่ในวันนี้ประโยชน์จากร่างกายเรามีมากกว่านี้หลายล้านเท่า ถ้าเรายังหายใจอยู่ และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์อาการป่วยของท่านก็เริ่มเป็นปกติ และแข็งแรงในเวลาอันรวดเร็ว

และท่านก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

ชาวตะวันตกมองโลกเพียงชีวิตเดียว แล้วก็สิ้นสุด

แต่เราชาวพุทธมองโลกที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสิ่งไหนเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ

เกิดมาเพื่อจะกระทำความดีให้ถึงที่สุด คือนิพพาน

คำสำคัญ (Tags): #ชีวิต
หมายเลขบันทึก: 474481เขียนเมื่อ 12 มกราคม 2012 22:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม 2013 20:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรียคุณ คน บ้านไกล

 

“The best possible death” “สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย”



      - ดีจริงๆ   บทความนี้...ขอบคุณนะคะ

     - มันเป็นความจริง(Fact)...ที่...... ทุกคนๆๆ ....ในโลกใบนี้..... จะได้รับ ....ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ ......ควร ทำให้  ชัดเจน....และ ปฎิบัติได้จริงๆๆ (Practice)


         ๑. จัดแจงเรื่องกฎหมายและการเงินของตัวเอง....ให้ครอบครัวให้เรียบร้อย


          ๒. “ร่ำลา” ครอบครัว, เพื่อนสนิท, และเพื่อนร่วมงาน


          ๓. ทำให้ทุกอย่างที่.....เหลือของชีวิต...เป็นเรื่อง “ง่าย ๆ และสบาย ๆ”


         ๔. อยู่กับ....  ปัจจุบันทุกนาที


         ๕. สร้างและเปิดอารมณ์  .......ให้รับ “นาทีอันสมบูรณ์” (perfect moments) ตลอดเวลา.....จนถึง....ลมหายใจสุดท้าย


         ๖. เริ่มต้น...กระบวนการ “ผ่องถ่าย” .....ไปสู่.....ภาวะถัดไป


         ๗. เตรียม .....งานศพ...ของตัวเอง



             Thanks .... Perfect.

 


ต้องขอขอบคุณคุณสุทธิชัย หยุ่น ที่เขียนบทความนี้มาให้พวกเราได้อ่านครับ

หมายเหตุของคนบ้านไกล

๖. เริ่มต้น...กระบวนการ “ผ่องถ่าย” .....ไปสู่.....ภาวะถัดไป

ผมก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ากระไร  ไม่รู้ว่ายูจีน จะรู้ถึงคำว่าทานในพระพุทธศาสนาหรือไม่

แต่ถ้าเป็นชาวพุทธเขียนเรื่องนี้ตอนสุดท้าย ต้องเปลี่ยนทรัพย์ภายนอกให้เป็นอริยทรัพย์ที่จะนำติดตัวไปในภพหน้า  เกิดมาอีกทีจะได้มีกินมีใช้ไม่ลำบากเหมือนชาตินี้


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท