มีคำคำหนึ่งในพุทธศาสนาที่สนับสนุนกระบวนการคิดไม่ว่าจะในลักษณะใดคือคำว่า “ปัจจุบันธรรม”
คำนี้ เรามักเข้าใจว่าหมายถึงการอยู่กับ “ขณะปัจจุบัน” โดยไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงอนาคต ซึ่งอันที่จริง การอยู่กับขณะปัจจุบันโดยไม่คิดนำอดีตมาพิจารณาเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไข หรือการไม่กำหนดเป้าหมาย หรือวางแผนอนาคตบนพื้นฐานความเป็นจริงในปัจจุบัน และดำเนินการตามแผนนั้น คือการอยู่อย่างประมาท
ข้อแตกต่างของการคิดที่เป็นปัจจุบันธรรม กับความคิดแบบฟุ้งซ่าน
คือ การคิดฟุ้งซ่านนั้น ซ่านไปตามตัณหา ทิฏฐิ มานะ ของตน จึงอาจนำเรื่องอดีตมาคิดอย่างหวนละห้อย อาลัยหา หรือคิดถึงอนาคตอย่างฝันเฟื่อง แต่การคิดแบบปัจจุบันธรรม คือ การคิดที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุปัจจัยในปัจจุบัน จึงนำเรื่องของอดีต หรือ อนาคต มาพิจารณาก็ได้ เช่น การคิดถึงอดีตด้วยโยนิโสมนสิการ การคิดถึงอนาคตด้วยการตั้งอธิษฐานจิต เป็นต้น (อธิษฐานจิตนี้ ก็เป็นคำที่ชาวพุทธไทยเข้าในผิดว่าเป็นการตั้งอธิษฐานเพื่อการขอสิ่งที่ต้องการ ในความเป็นจริง อธิษฐานจิต คือ การตั้งเป้าหมายที่ต้องการในอนาคต แล้วสร้างเหตุปัจจัยให้คล้อยตาม ดำเนินการจนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด เป็นสมาธิในรูปแบบหนึ่ง)
การคิดถึงอนาคตจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในพุทธศาสนา และเป็นหนึ่งในกระบวนการคิดที่มีเหตุผลอีกกระบวนการคิดหนึ่ง
(ดร.สุวิทย์ คำมูล ครบเครื่องเรื่องการคิด)
จากแผนภาพนี้คงอธิบายได้ว่า การคิดเชิงอนาคตคืออะไร ทำไมเราต้องคิดเชิงอนาคต และการคิดเชิงอนาคตมีประโยชน์อย่างไร
(ดร.สุวิทย์ คำมูล ครบเครื่องเรื่องการคิด)
ดังเช่น เราอาจนำนโยบายการศึกษาแห่งชาติมาคิดในเชิงอนาคต อันเป็นหนึ่งในกระบวนการคิดหลายหลากกระบวนการ ว่าจะส่งผลต่อสังคมในภายหน้าอย่างไรบ้าง โดยไม่เรียกว่าเป็นการคิดแบบฟุ้งซ่าน
อยากจะเชิญชวนทุกท่านช่วยกันคิดว่า หากการศึกษาไม่เน้นการส่งเสริมด้านคุณธรรม จริยธรรม ว่าจะส่งผลต่อเด็กและสังคมอย่างไร สังคมจะมีหน้าตาอย่างไรในอนาคต ช่วยกันขยายผล เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในสังคม
ขอเริ่มตั้งหัวข้อว่า “สังคมในวันหน้า บนพื้นฐานการศึกษาที่ขาดการส่งเสริมจริยธรรมในปัจจุบัน”
ท่านใดประสงค์จะร่วมกันคิดบ้างคะ