บ่ายโมงเศษ
ท่ารถเมล์ชุมแสง-หนองบัว ข้างสถานีรถไฟชุมแสง
แดดจ้า ผู้คนประปราย อากาศและบรรยากาศร้อนมากสลับกับร้อนอย่างสุดจะเปรียบ !!!!
แม่ค้าขายข้าวในเพิงท่ารถเมล์ชุมแสง-นครสวรรค์ : "...นี่รถชุมแสง-หนองบัวเพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี่เองคันหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าคันต่อไปจะมีกี่โมงหรือวิ่งหรือเปล่า เป็นอย่างนี้แหละพี่ เขาวิ่งบางเที่ยวก็มีผู้โดยสารเพียงคนสองคน น่าสงสาร..."
พ่อค้ารถเข็นวัยชรา ร่างกายผอมเกร็ง เงยหน้าจากกระดานหมากรุกที่นั่งโขลกกับคอร่ำเหล้าขาวด้วยกัน หยีตามองและคิดคำนวณทีเด็ดการเดินหมาก พลางสบถ : "....แม่ง ไอ้ห่า จะวิ่งหรือไม่วิ่ง หรือจะมีสักกี่โมง มันจะขึ้นบนป้ายบอกไว้สักหน่อยก็ไม่ได้ คนมาถามกูก็ไม่รู้จะตอบยังไงว่ามีรถหรือไม่มี..."
ผม : "ลุงๆ ขอเป๊ตซี่ใส่น้ำแข็งให้ผมสักถุงสิ"
โป๊ก !!!! "รุก !!!! ....." เสียงคู่หมากรุกของลุงโขลกกระดานพร้อมส่งเสียงบอกอย่างมาดมั่นและดูครึกครื้นในอารมณ์ "แม่ง !!! กินรุกกูอีกแล้ว เดี๋ยวก่อน" .... ลุงวางมือและลุกขึ้นไปเปิดลังแช่เย็นเก่าๆสภาพถลอกปอกเปิก เปิดฝา ตักน้ำแข็งใส่ถุง เทน้ำขวดใส่ถุงยื่นให้ผม แล้วกลับไปนั่งเล่นหมากรุกต่อ ก่อนจะยอมแพ้คู่ต่อสู้อีกเกมส์หนึ่ง
กว่าบ่ายสามโมง
ป้าคนหนึ่ง : "เราช่วยกันหาเช่ารถตู้หรือรถสามล้อไปส่งแล้วออกตังค์ช่วยกันดีไหม ..." ผมและหลายคนที่ท่ารถเมล์ต่างมีแนวโน้มว่าจะเห็นด้วย แต่ก็ยังพากันนั่งรอคอยรถเมล์อยู่ต่อไป
เด็กสาววัยรุ่นเลยวัยคอซอง ยกมือถือพูดกับอีกปลายทาง : "แม่ไม่น่าบอกให้หนูมาขึ้นรถที่ชุมแสงเลย ไปรถท่าตะโกก็ดีแล้ว ... หลงทางน่ะสิแม่ เนี่ยหนูติดรถเลยไปถึงบางมูลนากที่พิจิตรมา ต้องนั่งรถย้อนกลับมาที่ชุมแสง แล้วนี่ก็ยังไม่มีรถเมล์เลย สักพักจะโทรบอกแม่ให้น้าออกไปรับหนูหน่อยได้ไหม"
สาวใหญ่อีกคนหนึ่ง : "รถมันมีอยู่แค่ ๓ คัน แต่วิ่งวนไปมาอยู่คันเดียว เมื่อตอนบ่ายก็ออกช้าแล้ว ตอนวนกลับจากหนองบัวอีกไม่รู้มันจะมาเมื่อไหร่"
ป้าอีกคน : "เขาว่ารถมันชนกัน รถมอเตอร์ไซค์วิ่งชนท้ายรถเมล์คันหนึ่ง เลยต้องไปเคลียร์กัน ไม่รู้ว่ามันบอกรถที่เหลืออีกคันให้มาวิ่งแทนหรือเปล่า แล้วนี่เมื่อไหร่มันจะเสร็จ"
ป้าอีกคน : "รถสามล้อมันชนท้ายรถเมล์ เสียหายทั้งสองคัน แต่คนไม่เป็นอะไรมาก คนขับสามล้อเจ็บไหล่นิดหน่อยแต่ก็ยอมรับเองว่ามันเป็นคนผิดที่วิ่งไปชนท้ายรถเมล์ในขณะที่รถเมล์จอดรับส่งผู้โดยสาร แต่ตำรวจไม่ยอมปล่อยรถเมล์"
สาวใหญ่อีกคน : "รถมันชนกัน มอเตอร์ไซค์ชนท้ายรถเมล์ แขนขาดกระเด็นอยู่กลางถนน !!!"
หนุ่มใหญ่อีกคน : "รถสามล้อแม่ค้าชนท้ายรถเมล์ ขาหมูกับข้าวของที่ซื้อไปขายหล่นกระจายเต็มถนนไปหมด แต่คนไม่เป็นอะไร" ... ทำท่าว่าจะเห็นความเป็นมาของการเห็นแขนคนขาด และร่ำลือถึงขนาดความรุนแรงกันไปต่างๆนาๆ
ผมฟังไปก็ให้นั่งยิ้ม กระทั่งเวลาผ่านไปอย่างช้าๆจากบ่ายโมงกว่าถึงเวลารถออกเสียทีเมื่อเกือบหกโมงเย็น สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวและข้อมูลอย่างไรถูกต้องและน่าเชื่อถือที่สุด แต่อยู่ที่การพูดคุยสนทนาเพื่ออยู่ด้วยกันให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัยที่เผชิญอยู่ ความรู้และความไม่รู้ในสภาพอย่างนี้ จึงเป็นเสมือนเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับสร้างพื้นที่การอยู่ร่วมกันที่ท่ารถเมล์ เพื่อจัดการตนเองให้ได้ดำเนินไปสู่จุดหมายอันแท้จริงในเงื่อนไขชีวิตที่ต่างกันของผู้คน
ผมเห็นบทบาทอีกมิติหนึ่งของการสื่อสารและการจัดการความรู้ที่ท่ารถเมล์ของชาวบ้านที่รอคอยรถด้วยกัน ที่กลับไม่ได้มีจุดหมายเพื่อเจาะจงการได้คำตอบและต้องประหยัดเวลาในการพูดคุย แต่ใช้กระบวนการสื่อสาร พูดคุย และแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ เพื่อเป็นวิธีสร้างกระบวนการทางสังคมให้เกิดกลุ่มคนที่มีความอดทนรอคอยสิ่งต่างๆไปด้วยกันอย่างมีอัธยาศัยต่อกัน อีกทั้งพยายามทำให้ปัญหาที่ต่างก็ไม่รู้ สร้างเรื่องราวยืดขยายออกไปเพื่อก้าวข้ามปัญหาการรอคอยรถเมล์อยู่บนความไม่แน่นอนด้วยกันอีกด้วย.
บันทึกนี้
ถ้าไม่ระบุวันเดือนปีไว้ด้วย
ก็จะนึกเหตุการณ์ในเรื่องนี้
เกิดขึ้นเมื่อเกือบกึ่งศตวรรษที่แล้วเลยนะเนี่ย
เป็นลมหายใจที่คล้ายๆจะหวนคืนกลับมา
เหมือนเมื่อตอนมีถนนสายหนองบัว-ชุมแสง ใหม่ๆ
เมื่อครั้งก่อนจะไปชุมแสงแต่ละที
ก็บอกกล่าวญาติเพื่อนบ้านให้รู้ทั่วกัน ตระเตรียม วางแผนล่างหน้า
ก่อนเดินทางก็ตื่นเต้น พอไปเห็นก็ตื่นตาตื่นใจ
ทำนองบ้านนอกไปเห็นบ้านนอก แต่เหมือนในเมืองอย่างไรไม่รู้
ชุมแสงก็บ้านนอกของปากน้ำโพ แต่ชุมแสงก็เป็นในเมืองของ
บ้านนอกหนองบัวอีกที
ไปไหนเมื่อก่อนนี้
หมดโอกาสที่จะสื่อสารถึงกันและกันว่าเดินทางถึงไหนแล้ว
เป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ ไปจนกระทั่งกลับมาถึงบ้านจึงจะรู้มาถึงแล้ว
ครั้งหนึ่งเมื่อจำพรรษาในเมืองปากน้ำโพ
เดินทางกลับหนองบัว จากในเมืองมาลงรถที่ชุมแสง
จำได้ว่าเย็นพอสมควร ไปดูป้ายตารางเวลา
ปรากฏว่ารถเที่ยวสุดท้ายออกไปแล้ว
วันนั้นต้องเดินทางกลับวัดในเมือง
(ไม่มีรถขนไม้ รถขนข้าวเปลือก ให้โบกติดรถไปด้วย
เหมือนยุคหนองบัวมีรถบรรทุกไม้)
สรุปว่าเดินทางต่อได้ไหมครับ มาเชียร์การเดินทาง เจ้าหน้าที่ขนส่งน่าจะมาอ่านบันทึกนี้นะครับ
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์มหาแลครับ
ปรกติรถเมล์เที่ยวสุดท้ายนี่จะแน่นมากเลยนะครับ
และโดยมากก็จะเป็นพ่อค้าแม่ค้า ขนของและนั่งหลังคาเต็มไปหมด
สวัสดีครับอาจารย์ดร.ขจิตครับ
ได้ครับอาจารย์ ได้ความประทับใจดีไปอีกแบบหนึ่ง