ในขณะที่มนุษย์จำนวนมากที่กำลังเผชิญหน้ากับความตายเพียรพยายามจะดำเนินการก่อนสิ้นลมหายใจ
คือ "การแบ่งมรดกซึ่งเป็นทรัพย์สินเงินทองให้แก่บุตรหลาน"
เพื่อให้บุตรหลานได้ใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตต่อไป
แต่พระพุทธเจ้ากลับแสดงออกในทิศทางที่แตกต่าง
เพราะมรดกที่พระองค์ทรงมอบให้แก่ชาวโลกซึ่งกำลังมีลมหายใจนั้น คือ
"มรดกธรรม" ที่ย้ำเตือนว่า "สังขารมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลาย จงดำเนินชีวิตด้วยความประมาทเถิด!!!"
"มรดกธรรม"
ที่พระองค์นำเสนอนั้นเป็นการตรัสเตือนโดยการชี้ให้ทุกคนเพ่งพินิจด้วยความใส่ใจต่อ
"สังขาร" ของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น "มหาบุรุษ" ของโลกว่า
"สุดท้ายแล้วก็ต้องเดินทางไปสู่ความตายอย่างไร้เงื่อนไข
และไร้การต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น" ในห้วงเวลาของการดำเนินชีวิตนั้น
อาจจะมีกษัตริย์ และผู้คนจำนวนมากสยบยอม และหมอบแทบพระบาทของพระองค์
แต่ในช่วงสุดท้ายในชีวิตนั้น พระองค์ได้ชี้ให้ทุกคนได้เห็นว่า
"สังขารที่พระองค์ได้อาศัยกำลังสยบยอมต่อความตายอย่างนิ่งสงบ"
ผู้คนจำนวนมากอาจะเข้าใจว่า
ความตายเป็นจุดจบของพระองค์ แต่พระองค์ได้ให้สติว่า
ความตายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงคุณค่าของชาวโลกโดยการย้ำเตือนให้ผู้ใดก็ตามที่ยังมีลมหายใจอยู่ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
จะเห็นว่า "ลมหายใจของหนุ่มสาวอาจจะมีราคาถูก
แต่ลมหายใจของผู้ที่กำลังเดินไปสู่ความตายราคากลับแพงยิ่ง"
จุดต่างอยู่ตรงที่ "คุณค่าของลมหายใจ"
เพราะอีกคนไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกับใบหน้าของ "ความตาย"
แต่อีกคนเริ่มคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น
เพราะความคุ้นเคยจึงนำไปสู่การกำหนดท่าทีเชิงบวกว่า
"ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจ"
และคอยเตือนใจมิให้เราประมาทประดุจกัลยาณมิตร
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งนาม "สตีฟ จ๊อบ" ผู้มีความแตกต่างจากคนหนุ่มสาวทั่วไป
เพราะพากเพียรเรียนรู้และเข้าใจ "กลไกของความตาย"
และนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพราะเขาได้แปรเปลี่ยน และพัฒนา
"กลไกของความตายไปสู่การสร้างกลไกในโลกวิทยาศาสตร์"
ในขณะที่พุทธพจน์บทที่ว่า "ควรรีบทำสิ่งที่เราควรจะทำเสียแต่วันนี้
เพราะใครเล่าจะทราบว่า ความตายจะมีแก่เราในวันพรุ่งนี้" ได้รับการ
"แปรรูป"
ไปสู่วลีสำคัญที่สตีฟย้ำเตือนตัวเองในขณะที่ส่องกระจกก่อนออกจากบ้านไปทำงานว่า
"จงดำเนินชีวิตให้เปรียบประดุจว่า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะมีชีวิตอยู่"
ประโยคทองดังกล่าวได้กลายเป็น "แรงบันดานใจ"
ต่อการเปลี่ยนโลกทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าจดจำ
และตรึงใจชาวโลกไปอีกแสนนาน
ณ วินาทีนี้
แม้ว่าร่างกายของพระพุทธเจ้า และสตีฟ จ๊อบจะกลับคืนสู่สามัญเป็นดิน
น้ำ ลม และไฟ ถึงกระนั้น ความตายได้ทำให้สรุปแล้ว
ความตายได้กลายเป็นพลังทยานแห่งชีวิต
ที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะได้ใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือค้นพบความเป็น
"พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" และทำให้สตีฟ จ๊อบได้ค้นพบสินค้านาม "Apple"
จะเห็นว่า "ความตายไม่ใช่จุดจบ
แต่คือจุดที่นำไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่" ส่วนการที่เราจะค้นพบหรือไม่
การใส่ใจต่อความตายอาจจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่รอการค้นหาของพวกเราอยู่!!!
"ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดที่นำไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่" ก่อนจะถึงจุดนี้ได้ จะต้องฝึกฝนอย่างไรดีหนอ...
โยมพี่แก้ว....
การนำแง่มุมของความตายในลักษณะ "จริยศาสตร์ ในประเด็นตายก่อนตาย สิทธิที่จะตาย และการตายอย่างสงบ นั้น มีคนเขียนเอาไว้ค่อนข้างมาก และสามารถหาอ่านได้อย่างแพร่หลาย...
หนังสือเล่มนี้ พยายามนำเสนอความตายในมิติของ "จิตวิทยา" โดยการนำความตายมาสร้างฝันและแรงบันดานใจแก่ผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ได้ตระหนักว่า "ลมหายใจในทุกอณูนั้น มีคุณค่าและความสำคัญต่อการดำรงอยู่อย่างไร" และเราจะนำความตายมาแปรรูปเป็นพลังทยานแห่งชีวิตอย่างไร โดยไม่ทำให้เราเมื่อนึกถึงความตายแล้วพากันอ่อนอกอ่อนใจ หง่อยเปรี้ยเสียขา ยอมแพ้ต่อโชคชะตาต่อชีวิต
ขอบคุณพี่แก้วมาก... ขอให้พี่แก้วมีความสุข และสร้างบารมีในชีวิตที่เหลืออยู่
เจริญพร
อยากได้หนังสือ ต้องทำยังไงครับ
อยากได้หนังสือ ต้องทำยังไงครับ