นาทีชีวิต
มีเหตุการณ์หนึ่งในชีวิต ที่ทำให้ฉัน ต้องจดจำไปชั่วชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกใบนี้ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นวันที่ความโหดร้ายเข้ามาเยือน ฉันเริ่มมีอาการเวียนศีรษะ จึงไปพบแพทย์ ได้ให้ยามาทานและให้ลาป่วย ๑ วัน หลังจากนั้นอีก ๒ วันขณะที่อยู่เวรบ่ายฉันมีอาการปวดท้อง ก็เลยไปขอยาแก้ปวดท้องจากห้องยามาทาน ๑ เม็ด ๑ ชั่วโมงผ่านไป อาการปวดท้องไม่ทุเลา ฉันจึงไปพบแพทย์ที่ตึกอุบัติเหตุ แพทย์ได้ทำการตรวจรักษาและให้ฉีดยาแก้ปวดท้อง ๑ เข็ม หลังจากนั้นอาการปวดท้องของฉันก็ทุเลาฉันจึงกลับมาทำงานต่อ จนกระทั้งหมดเวลาของเวรบ่าย ๒๔.๐๐ น.เมื่อกลับเข้าที่พัก หลังจากอาบน้ำเสร็จกำลังจะเข้านอน ฉันมีอาการปวดท้องและปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีก พยายามอดทนเผื่ออาการปวดท้องจะทุเลา แต่ปรากฏว่ายังคงปวดท้องมากขึ้นฉันฝืนลุกขึ้นแต่งตัวขับมอเตอร์ไซต์จากบ้านพักโรงพยาบาล ไปที่ตึกหาน้องพยาบาลให้ช่วยเหลือ ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องทำบัตร และส่งมาพบแพทย์ที่ตึกอุบัติเหตุ เมื่อมาถึงพยาบาลได้ซักประวัติและตรวจร่างกาย โทรปรึกษาแพทย์และให้เข้านอนพักรักษาในโรงพยาบาลที่ตึกผู้ป่วยหญิงฉันนอนอยู่ห้องพิเศษ ๔ อาการปวดท้องไม่ดีขึ้นเลยเริ่มมีภาวะช็อกร่วมด้วย แพทย์ได้ให้การดูแลรักษา ปรากฏว่านอกจากภาวะช็อกแล้วยังตรวจพบ คลื่นหัวใจผิดปกติ แพทย์จึงได้เขียนใบส่งตัวเพื่อไปรักษาต่อที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี เนื่องจากครอบครัวของฉันอยู่จังหวัดพังงา ซ้ำอยู่ห่างจากสุราษฏร์ธานีบุคคลที่ให้การช่วยเหลือดูแลฉัน ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งไปดูแลที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี คือ พี่ ๆ น้องพยาบาล โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ฉันถูกนำขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล โดยมีน้องร่วมไปส่งที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๔๕-๕๐ นาที เมื่อมาถึงพนักงานเปลเข็นฉันเข้าไปในตึกอุบัติเหตุ โดยมีพี่อรวรรณตามมาดูแลฉันอีกคน ระหว่างนั้นพยาบาลตึกอุบัติเหตุเข้ามาซักประวัติ แพทย์ทำการตรวจให้นอนรักษาตัวที่ตึกอายุรกรรมหญิง โดยให้พนักงานเปลเข็นไปเอ็กซเรย์ ก่อนเข้าตึก เมื่อมาถึงเตียงนอนก็มีพยาบาลซักประวัติ ตรวจคลื่นหัวใจหลังดูผลแพทย์ได้โทรประสานอายุแพทย์ทันที่ แพทย์ให้ยากระตุ้นหัวใจทางเส้นเลือด ปรากฏว่าฉันมีอาการเหงื่อออก ตัวเย็นใจสั่นและบอกกับพี่พยาบาลว่า ฉันรู้สึกไม่ไหวแล้วหัวใจของฉันเหมือนว่าออกมาเต้นข้างนอก ภาพบนจอเครื่องตรวจคลื่นหัวใจ ยังผิดปกติ แพทย์สั่งกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ฉันรู้สึกปวดมากที่สุดในชีวิต เมื่อโดนกระตุ้นด้วยไฟฟ้า เพราะขณะนั้นฉันยังรู้สึกตัวดีและยาที่ฉีดไปยังไม่ออกฤทธิ์ในครั้งที่ ๒ แพทย์สั่งกระตุ้นไฟฟ้าอีก ฉันไม่รู้สึกตัวอีกเลย มันเหมือนวิญญาณได้ออกจากร่างกายของฉัน โดยมีผู้ชาย ๒ คน คนแรกใส่ชุดเหมือนกุมารทอง อีกคนหนึ่งตัวดำไม่ใส่เสื้อ ใส่เป็นผ้านุ่งโจงกระเบน พาฉันไปพร้อมกับเค้า ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นที่ไหน ยืนบนลานกว้าง ๆ ฉันมองไปด้านข้างมีแต่ความมืดไม่เห็นอะไรเลย ขณะยืนอยู่นั้นมีเสียงพูดดังขึ้นจากด้านบน พูดเสียงกังวาน “ผิดคน” ฉันไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้วิญญาณมาที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นห้องกว้าง ๆ และได้ยินเสียงแม่มาเรียกฉัน “ไป” ฉันรู้สึกตัวทันทีดิ้นไปมา ฉันได้รับคำบอกเล่าจากพี่และน้องพยาบาล ที่อยู่ที่นั้น หัวใจหยุดเต้น ๓-๔ ครั้ง ปั๊มหัวใจช่วยชีวิต ๓-๔ ครั้ง กระตุ้นด้วยไฟฟ้า ๓๐-๔๐ ครั้งตอนนั้นแพทย์ได้อธิบายญาติและพี่พยาบาลว่า โอกาสรอดแทบไม่มีให้ญาติและทุกคนทำใจ รอเพียงปาฏิหาริย์ และ.......แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับฉัน คงเป็นเพราะความดีที่ฉันได้กระทำมา และความดีจากวิชาชีพพยาบาล ได้ช่วยเหลือและชุบชีวิตฉันให้รอดพันความตายแบบปาฏิหาริย์
หลังจากฉันฟื้นแพทย์ทำการรักษาอยู่ที่ห้องพักฟื้นหัวใจ ย้ายไปอยู่ตึกอายุรกรรมหญิง และย้ายเข้าห้องพิเศษ แพทย์ทำการรักษาโดยการล้างไตทางหน้าท้อง และฉีดยาฆ่าเชื้อหลังจากไตฟื้น แพทย์ได้ทำการผ่าตัดเอาสายล้างไตออก แพทย์บอกว่าฉันเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและช็อกทำให้ไตหยุดทำงาน ฉันต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลศูนย์สุราษฏร์ธานี เป็นเวลาทั้งหมด ๖๗ วัน ขณะนี้ฉันหายเป็นปกติทุกอย่าง สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ ฉันพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่ฉันได้เล่าเรียนมา ฉันพยายามหาคำตอบแต่ก็หาไม่ได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น คนเราทุกคนเมื่อมีชีวิตอยู่ดิ้นรนเพื่อการเอาตัวรอด ดิ้นรนเพื่อจะทำให้ตัวเองดีขึ้น เวลาที่เรากำลังจะตายเราจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับชีวิตเรา เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เงินทอง หน้าที่การงาน รถ บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าในชีวิตเรา แต่เมื่อวันนั้น วันที่เราจะตายทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่มีค่าอะไรเลย
จากการรอดชีวิตครั้งนี้ ฉันตั้งใจว่าฉันจะทำทุก ๆ วัน ด้วยสิ่งที่ตัวเองมีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้ฉันจะทำ “นั้นอาจเป็นถุงเงินที่ไม่ได้มีไว้ใส่เงิน แต่มันคือถุงเงินใส่ความดีที่เราสามารถนำไปใช้หลังจากที่เราตายไปแล้ว”
เห็นด้วยนะคะ ทำทุกวันให้มีความสุข ทำดีไว้เป็นทุนสำหรับการเดินทางในปัจจุบัน และอนาคตค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ฝันร้ายผ่านไปแล้วค่ะ