นักการศึกษาและผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารวงการศึกษาคงเคยได้ยินข่าวก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ MITx ซึ่งเป็นเว็บแพลทฟอร์มสำหรับการเรียนรู้ออนไลน์ ทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่การศึกษาออนไลน์ และการศึกษาทางไกลก็มีมานาน และ MIT เองก็เปิดให้สาธารณชนเข้ามาศึกษาผ่านระบบ OpenCourseWare หรือ OCW ที่ให้บริการมาเป็นสิบปีแล้ว โดย OCW เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาดูวิดีโอบรรยาย เอกสารการบรรยาย แบบฝึกหัดและข้อสอบ
มันเป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะ MITx ก้าวไปไกลกว่า ด้วยระบบทดสอบที่สามารถให้ฟีดแบคอัตโนมัติ แถมยังให้ประกาศณียบัตรแก่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้วย นั่นหมายความว่าถ้าเรียนจบหลักสูตรวิชาใดๆ คุณสามารถเอาไปอวดชาวบ้านและอาจถึงกับเอาไปสมัครงานได้เลย สรุปง่ายๆ ว่าจุดแข็งของ MITx คือการสร้างแบรนด์ให้กับ MIT ด้วยประกาศณียบัตร และการเปลี่ยนระบบการเรียนแบบทางเดียวไปเป็นสองทางครับ เมื่อระบบมีการโต้ตอบ ผู้เรียนก็สามารถปรับปรุงตัวเองได้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองได้ MITx จะเปิดสอนวิชา Circuits and Electronics เป็นวิชาแรกในเทอมแรกของ 2012 (Fall 2012) ที่จะถึงนี้นะครับ
แต่ MIT ไม่หยุดแค่นั้น เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ยังประกาศผนึกกำลังกับHarvard เพื่อสร้าง EDx กันบ้าง ซึ่งเป็นเว็บแพลทฟอร์มโอเพนซอร์ซ นั่นหมายความว่าสถานศึกษาใดๆ ก็สามารถเอาระบบนี้ไปใช้ได้เช่นกัน และจะสามารถสร้างเครือข่ายชุมชนนักพัฒนาที่จะต่อยอดสร้างโมดูลเพิ่มเติม เหมือนชุมชนของแพลทฟอร์มโอเพนซอร์ซระบบการจัดการการสอน (learning management system หรือ lms) อย่างมูเดิล (Moodle) ได้อีกด้วย
แล้วมันต่างกับมูเดิลยังไง? สงสัยใช่ไหมครับ ส่วนตัวผมเองคิดว่ามูเดิลมีจุดแข็งเหนือ lms อื่นๆ ในตลาดตรงที่มันวางอยู่บนรากฐานของ social constructionist pedagogy ซึ่งเป็นหลักการที่ดีและเหมาะสมกับการเรียนออนไลน์หรือแม้แต่เรียนแบบผสมผสาน (hybrid/blended learning) ในขณะที่ lms ระบบอื่นๆ ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการการเรียนรู้ใดๆ อย่างชัดเจน แต่ปัญหามันอยู่ที่ทฤษฏีที่มูเดิลกล่าวถึงเหล่านี้มันไม่ได้ถูกบังคับไว้ในการใช้งานจริงน่ะสิครับ ทีมงานของมูเดิลเองยอมรับแบบอ้อมๆ ว่าผู้สอนควรคำนึงถึงหลักการเหล่านี้เวลาออกแบบหลักสูตร (ซึ่งแปลว่า เราไม่ได้บังคับนะจ๊ะ) เท่าที่ผมสัมผัส อาจารย์หลายท่านก็ใช้มูเดิลหรือ lms ตัวอื่นเพื่อเก็บสื่อการสอนหรือให้เด็กได้ดาวน์โหลดเอกสารการสอน อย่างมากก็ใช้ในการทดสอบออนไลน์ ซึ่งประหยัดและสะดวกกว่าการสอบด้วยกระดาษ
ตรงนี้แหละครับที่ EDx จะทำได้ดีกว่ามูเดิลหรือ lms อื่นๆ เพราะมุ่งเน้นที่การพัฒนาการศึกษาเป็นหลัก ด้วยการเชิญชวนให้มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้ามาใช้ระบบเขา หรือเอาระบบเขาไปลงที่เซิร์ฟเวอร์ตัวเอง และทางทีมงานจะเก็บข้อมูลว่ากิจกรรมการศึกษาแบบใด เทคโนโลยีแบบใดที่เหมาะกับการเรียนการสอนทั้งในสถานศึกษาและแบบออนไลน์
คำถามถัดมาก็คือ ทำไมมหาวิทยาลัยดังๆ ถึงกล้าเปิดสื่อการสอนทุกอย่างแบบหมดเปลือก ไม่กลัวว่าใครจะลอกเลียบแบบ เหตุผลก็คือ เขารู้ว่าการเรียนการสอนในชั้นเรียน บรรยากาศในวิทยาเขต และทรัพยากรต่างๆ ที่นักศึกษาที่อยู่ในวิทยาเขตสามารถเข้าถึงนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ที่จะ “หล่อหลอม” และ “บ่มเพาะ” ผู้เรียน ต่างกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้สนใจทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ แต่ต้องอาศัยความตั้งใจ แรงจูงใจ และกำลังใจอย่างมากที่จะเรียนให้จบแต่ละวิชา อย่างที่รู้ว่าการเรียนแบบออนไลน์โดยที่ผู้เรียนแต่ละคนไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันนั้น มีเปอร์เซ็นต์การดร็อปเอ้าท์หรือเรียนไม่จบสูงกว่าการเรียนในระบบมากหลายเท่าตัว พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงแม้จะเปิดให้เห็นสื่อการสอนทุกอย่างก็ใช่ว่าทุกคนจะมีปัญญา มีเวลา และทรัพยากรที่จะเรียนได้นั่นละครับ
สำหรับบ้านเราที่กำลังตื่นเต้นเรื่องประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ยังไม่ต้องหวังว่าจะไปตามเขาให้ทัน แต่ถ้าเราเอาแต่ชูนโยบายแจกแท็บเล็ต ไม่ว่าจะในระดับประถม มัธยม หรือมหาวิทยาลัย มันก็เป็นแค่นโยบายระยะสั้นนะครับ หรือการโฆษณารับสมัครนักศึกษาว่าทางมหาวิทยาลัยเรามีดารา มีคนดังมันก็เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเท่านั้น ผมว่าเราควรหาจุดยืนของเราให้เจอก่อนแล้วเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถ รู้เท่าทันเทคโนโลยีและสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับผู้เรียนในบ้านเราให้ได้ นั่นหมายถึงงานวิจัยที่จะต้องเกิดขึ้นในภูมิภาคของเราเอง เอาองค์ความรู้จากต่างประเทศมาดัดแปลงก็ได้ หรือเอาหลักการทางพุทธศาสนามาปรับใช้อย่างที่หลายโรงเรียนเขาเริ่มใช้กันก็น่าสนใจ
นโยบายระยะสั้นอย่างที่นักการเมืองเขาใช้หากินกันมันไม่พอครับ พวกนั้นเขาหวังจะเข้ามากอบโกย โกงกินกันแบบโจ๋งครึ่ม ไม่กลัวบาปกรรม และเราไม่ใช่ศูนย์เรียนพิเศษที่เปิดการทั่วเมืองที่มุ่งหวังจะเพิ่มสุญญากาศระหว่างคนรวยกับคนจน มุ่งแต่จะกอบโกยเงินจากคนมีอันจะกินโดยไม่ผลกระทบต่อสังคมโดยรวม สถาบันอุดมศึกษาต้องมองการณ์ไกล ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและคุณธรรม ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ มันก็เป็นการกอบโกยทางอ้อมเหมือนกัน ว่าไหมครับ?
เป็นประโยชน์มากค่ะ ใจจดจ่อว่า คอร์สที่จะมาลง MITx คืออะไร
แต่เข้าใจว่าคอร์สที่ทำแบบนี้ได้ คงเป็นความรู้ที่มีสูตรตายตัว มากกว่าทักษะที่ต้อง "บ่มเพาะ"
ต้องยอมรับนะครับว่าวิชาที่สามารถเอามาทำหลักสูตรเรียนออนไลน์แบบอัตโนมัติ จะเป็นทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเสียส่วนมาก เพราะด้านสังคมศาสตร์มันต้องใช้ทักษะด้านอื่นที่ยังไม่สามารถตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ได้ หรือถ้าได้ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ลองนึกถึงว่าถ้าเราต้องตอบคำถามแบบเรียงความวิชาการเมืองการปกครองแล้วให้คอมพิวเตอร์ตรวจ มันคงลำบากน่าดู
ปัญหานี้เราก็เห็นในข้อสอบ admission ของบ้านเรา ว่าทำไมสายวิทย์ ไม่ค่อยมีคนโวยวาย เพราะมันชัดเจน ส่วนสายศิลป์ จะมีปัญหามาก เพราะออกเป็นข้อสอบแบบตัวเลือกถูกผิด ส่วนมากมันวัดได้แค่ความรู้ระดับล่าง ถ้าวัดความรู้วิเคราะห์ ต้องออกแบบโจทย์ดีๆ ทำได้ครับแต่ยาก
ขอบคุณที่แวะเวียนมาทักทายนะครับคุณ ป. :)
ผมใช้หลายกิจกรรมใน moodle และกำลังทำวิจัยการเรียนการสอนด้วย moodle ด้วยครับ ชอบที่ชุมชนนักพัฒนาเขาเข้มแข็งดี แต่เรื่องเอกสารการใช้งานยังน่าเป็นห่วง (อ่านยาก ภาษาเทคนิค) สำหรับ classstart.org ยังไม่เคยลองครับ
อาเซียนจะเริ่มแล้ว ตอนนี้ประชุมเรื่องอะไร ทำกิจกรรมอะไร เราก็ใช้เหตุผล เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอาเซียนได้ เป็นเหตุผลครอบจักรวาลไปแล้ว ถึงเวลาจริงๆ ผมรอแค่ว่าจะไปเที่ยวแบบไม่ต้องขอวีซ่าแค่นั้นละฮะ (ฮา!)
อย่ากลัวเลยอาเซียน เรื่องภาษาอาเซี่ยน ไม่ต้องกังวลครับ
เพราะเมืองไทยจะเป็นแหล่งแรงงานเสรี เพื่อนบ้านต้องเรียนรู้ภาษาไทย
ที่น่าห่วงแรงงานไทย เรียนอาชีวะเพียงร้อยละ ๓
ในขณะที่ไทยผลิตบัณฑิตสายศิลปศาสตร ร้อยละ ๗๐
สายวิทยาศาสตร์(ซึ่งแนวโน้มตกงานสูง) ร้อยละ ๓๐ จึงขาดพลังคิด
ผมยังห่วงเรื่อง ท้องอิ่มและยิ้มได้ มากกว่าครับ
คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นไหม
ผมว่ามหาวิทยาลัยอย่ากลัวเลยกับสื่อการเรียนรู้ออนไลน์
เพราะคนไทยไม่รักการอ่านมากนัก เขาอ่านให้ก็เป็นเครดิต
ของคนเขียนเพียงให้เขามีมารยาททางวิชาการ
อ้างอิงที่มาก็เป็นผลงานทางวิชาการของผู้ผลิตแล้วครับ
ขออนุญาตเสวานากับ ดร.ขจิต ฝอยทองผ่านที่ ดร.วสะ บูรพาเดชะ ครับผม