พุทธชยันตีบทเรียนสำหรับชาวพุทธในยุคเสรีประชาธิปไตย


               ผมตัดสินใจอยู่นานมาก ว่าผมจะเขียนเรื่องนี้ดีไหมเอ๋ย..ด้วยเหตุผลง่ายๆดังนี้ ๑. ผมเป็นมุสลิม จะรู้เรื่องศาสนาพุทธได้อย่างไร ๒. สืบเนื่องจากข้อ ๑. จะเป็นการบังอาจ ล่วงละเมิดในศาสนาไปหรือเปล่า ..แต่เมื่อมาคิดอีกที ผมน่าจะเขียน ด้วยเหตุผลอีกนั้นแหละ.. ๑. ผมเป็นคนไทย ที่รักชาติพอๆกับคนไทยทุกคน ๒. ผมเป็นคนที่มีศาสนาและปรารถนาดีต่อศาสนิกทุกศาสนา ๓. ท่านศาสดาของผมสอนว่าให้ตักเตือนซึ่งกันและกัน และ ๔. ผมเกิดที่ประเทศไทยเมืองพุทธ ได้รับรู้เรื่องราวของศาสนาพุทธมาตั้งแต่เด็กๆ.. ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ จึงทำให้ผมกล้า(บังอาจ)เขียนเรื่องนี้ เพื่อย้ำเตือนเพื่อนๆศาสนิกของชาติเรา

                ในช่วงที่พี่น้องชาวพุทธเฉลิมฉลอง “พุทธชยันตี”ผมเองก็มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องนี้ไปพร้อมๆกับพี่น้องชาวพุทธทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย แต่มีความรู้สึกว่าคนไทย จะให้ความสนใจในประเด็นนี้แค่การเฉลิมฉลอง(ผมหมายถึงคนส่วนใหญ่นะครับ) มีบ้างที่นำ “พุทธชยันตี” มาวิเคราะห์แบบเจาะลึก พร้อมที่จะนำมาเป็นบทเรียนแห่งวิถีชีวิต ที่ผมกล้ากล่าวแบบนี้ก็เพราะว่าหลังจากผ่านพ้นช่วงนั้นไปคนไทย ก็กลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิมๆไม่พูดไม่คุย ไม่เจาะลึกเรื่องนี้อีก

                ผมมีโอกาสเป็นพิธีการในงานมุสลิมสองสามงานเมื่อเร็วๆนี้ ที่มีพี่น้องชาวพุทธให้เกียรติมาร่วมงานนั้นด้วย(โดยเฉพาะนักการเมืองและข้าราชการ)ผมกล้าที่จะกล่าวแสดงความยินดีเนื่องในโอกาส “พุทธชยันตี” จนท่านเหล่านั้นแปลกใจว่าผมรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ??..มีข้าราชการท่านหนึ่งถึงกลับกล่าวกับผมว่า “แม้แต่พิธีกรที่เป็นชาวพุทธเอง เวลาทำหน้าที่ ยังไม่กล่าวแบบนี้เลย” ผมจึงตอบไปว่า ผมอยากเห็น คนในศาสนิกต่างๆได้แสดงความปรารถนาดีแต่วาระสำคัญๆของแต่ละศาสนาครับ

                ทีนี้มาถึงประเด็นที่ผมจะเขียนในวันนี้ ขออนุญาตพี่น้องชาวพุทธด้วยนะครับ หากมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงข้อเท็จจริง โปรดชี้แนะด้วย

                “พุทธชยันตี” ถ้าจะว่าไปแล้วคือพุทธประวัติของ “พระพุทธเจ้า”นั้นเอง.. ควาหมายของคำว่า พุทธชยันตี... พุทธชยันตี เป็นภาษาสันสกฤต โดย พุทธ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคำว่า ชยันตี มาจากคำว่า ชย แปลว่า ชัยชนะ ซึ่งเมื่อนำคำทั้ง 2 คำ มารวมกันแล้ว พุทธชยันตี จึงหมายถึง การครบรอบวันเกิดของพระพุทธเจ้า หรือวันครบรอบชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อหมู่มารและกิเลสทั้งปวง ซึ่งมักใช้เรียกการจัดกิจกรรมเพื่อการถวายเป็นพุทธบูชาในปีที่ครบรอบวาระสำคัญของพระพุทธเจ้า เช่น ครบรอบ 2500 ปี แห่งปรินิพพาน โดยในแต่ละประเทศอาจใช้คำเรียกที่ต่างกัน เช่น ศรีสัมพุทธชันตี สัมพุทธชยันตี

                ผมพยายามที่จะหาข้อมูลหรืองานเขียนที่จะสนองตอบต่อสิ่งที่ผมต้องการ แต่ก็หายากมา ผมอาจจะมองต่างจากพี่น้องชาวพุทธตรงที่ว่า ผมไม่ได้มุ่งหาว่าในช่วง “พุทธชยันตี” จะประกอบพิธีกรรมอะไรบ้าง แต่ผมมองในมิติของประวัติศาสตร์ที่น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับชาวพุทธ โดยเฉพาะคนไทย ที่กำลังมีความขัดแย้งกันทางการเมือง หากมิติทางศาสนาพุทธยังไม่สามารถ ซึมลึกเข้าสู่วิถีคนพุทธจริงๆแล้ว ก็น่าคิดว่ามันบรกพร่องตรงไหน เฉกเช่นที่ผมมักพูดเสมอๆว่า “หากมุสลิมไม่นำวิถีตัวเองสู่สันติและจะบอกได้อย่างไรว่าอิสลามคือสันติ และจะตอบกับพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร”

                ผมอ่านพุทธประวัติ ทำให้ผมเห็นบทเรียนที่พี่น้องชาวพุทธ(ไทย)พึงตระหนัก ประการแรก คือชาติตระกูลของพระพุทธเจ้าล้วนแล้วแต่สืบเชื่อสายมาจากพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น(พุทธประวัติ พิกิพีเดีย) ประการต่อมา ด้วยกับระบบกษัตริย์นี้เองทำให้ศาสนาพุทธสามารถเผยแพร่ต่อไปได้ อย่างเช่นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

                จากพุทธประวัติ หาก “พระสิทธัตถะกุมาร” ไม่ได้ถือกำเนิดในตระกูลกษัตริย์ ก็ไม่ทราบว่า การเลี้ยงดูการดูแลรักษาจะดีเลิศหรือไม่ โอกาสจะดีเท่านี้หรือเปล่า ผมมองและวิเคราะห์ว่าเหตุผลที่ต้องเกิดในตระกูลกษัตริย์ น่าจะให้อะไรกับคนยุคนี้ได้บ้าง โดยเฉพาะบทเรียนทางการเมือง การปกครอง ว่าระบบที่สามารถรักษา “พระสิทธัตถะกุมาร” ได้นั้นคือระบบใด นั้นก็หมายความว่า ต่อไประบบที่สามารถรักษา แนวคิด คำสอน ของ “พระสิทธัตถะกุมาร” ในอนาคตคือระบบนี้ คงไม่ต้องไปตั้งตรรกะว่า สมมุติ“พระสิทธัตถะกุมาร” ไปเกิดในตระกูลไพร่ ไม่ดีหรือ.. เพราะนั้นคือพระพุทธเจ้า คำถามจะมีต่อไปว่า แล้วทำไม ไม่ให้ไปเกิดในตระกูลไพร่เล่า..แล้วคำถามที่ว่าทำไมต้องให้เกิดในตระกูลกษัตริย์ มีนัยยอย่างไรหรือไม่ ..จริงๆแล้วผมก็อยากให้ปราชญ์ชาวพุทธ(บางคน..บางคนนะครับ)ลองวิเคราะห์ดูบ้าง เพราะเห็นวิเคราะห์ระบบกษัตริย์เก่งนัก..??

                การที่ “พระสิทธัตถะกุมาร” เกิดในตระกูลกษัตริย์ แล้วต่อมาเข้าใจและเห็นใจไพร่ หรือผู้ที่ด้อยกว่า มันคือแรงบันดาลให้คนในระดับสูงด้วยกันมองผู้ยากไร้ด้วยความเมตตา และการที่เกิดในตระกูลนี้คือเครดิต และคุณูปการต่อการเผยแพร่ต่อไป ตัวอย่างง่ายๆหากเราพูดเรื่องสมุนไพร กับหมอพูดเรื่องสมุนไพร เรื่องเดียวกันคนจะเลือกเชื่อใคร..อย่างไรก็ตามผมยังเห็นว่า ระบบกษัตริย์มีคุณต่อ “พระสิทธัตถะ”และพุทธศาสนาอย่างมากอยู่ดี

             พระนางมายาเทวี เมื่อประสูติ “พระสิทธัตถะกุมาร” เจ้าล่วงไปได้ ๗ วัน ก็เสด็จทิวงคต  ตามประเพณีพระพุทธมารดา พระเจ้าสุทโธทนะจึงได้มอบการบำรุงรักษาพระสิทธัตถะกุมาร ให้เป็นภาระแก่พระนางปชาบดี โคตมี พระเจ้าน้า ซึ่งก็เป็นพระมเหษีของพระองค์ด้วย พระนางปชาบดี โคตมี ก็ทรงมีพระเมตตารักใคร่พระกุมารเป็นที่ยิ่ง เอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงพระกุมารเป็นอย่างดี แม้ต่อมาพระนางเจ้าจะทรงมีพระโอรสถึง ๒ พระองค์ คือ นันทกุมาร และรูปนันทากุมารี ก็ทรงมอบภาระให้แก่พี่เลี้ยงนางนมบำรุงรักษา ส่วนพระนางเจ้าทรงเป็นธุระบำรุงพระสิทธัตถะกุมารด้วยพระองค์เอง..จากพุทธประวัติตรงนี้ พุทธศาสนิกก็น่าจะชัดเจนว่า ระบบกษัตริย์ได้ทำนุบำรุง ผู้ซึ่งจะมาทำหน้าสำคัญของศาสนาท่านได้เป็นอย่างดี

               แม้แต่วันพระราชพิธีวัปปมงคล งานแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปทรงแรกนาขวัญ ในงานพระราชพิธีนั้น ก็โปรดเกล้าให้เชิญพระกุมารไปในงานพระราชพิธีนั้นด้วย ผมอ่านพุทธประวัติถึงตรงนี้ แล้ว ดูพิธีแรกนาขวัญของไทยเราในปีพุทธชยันตีที่ 2600 ที่ผ่าน ระบบพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย ก็ยังรักษาประเพณีที่พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิบัติเสมอมาไม่ขาด และถือเป็นสิ่งที่พระมหากษัตริย์ต้องให้ความสำคัญ..

              หากจะว่าไปแล้วพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมากๆท่ามกลางกระแส ลัทธิว่าเชื่อต่าง ระบบกษัตริย์มีส่วนสำคัญ ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งทุกท่านคงทราบดี และในยุคสมัยต่อๆมาเราก็จะเห็นว่าระบบกษัตริย์ได้อุปถัมภ์ค่ำชูพุทธศาสนามาทุกยุคทุกสมัย

               ผมเองเป็นมุสลิม คงไม่ต้องตอบคำถามอะไรมาก แต่สำหรับพี่น้องชาวพุทธน่าจะต้องตอบคำถามมากกว่าใคร หากระบบกษัตริย์เจือจางในความคิดของทุกคน แล้วกลับไปไขว่คว้าระบบลัทธิใด ที่ไม่เอาระบบพระมหากษัตริย์เลย..??จะตอบว่าอย่างไร ?? เพราะระบบนี้ เป็นระบบของพระราชบิดาของพระพุทธเจ้า เป็นระบบเก่าแก่ที่อยู่คู่กับพุทธประวัติ

               ในอดีตพระพุทธเจ้าได้ต่อสู้กับ รัก โลภ โกรธ หลง การเห็นแก่ตัว โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นผู้อำนวยความสะดวกในทุกเรื่อง(อ่านในพุทธประวัติได้) และวันนี้สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ต่อสู้ มันได้เข้าทำร้ายทำลายมนุษย์อีกแล้ว มันมาในรูปแบบทุนนิยม ที่มีแนวคิดกำไรสูงสุด เห็นแก่ตัว มันได้กระชากมนุษย์ให้หันห่างในคำสอนของศาสนามากขึ้นทุกวัน แล้วใครละที่ได้เรียกร้องเชิญชวนเคียงข้างบุตรของพระพุทธเจ้า(พระสงฆ์)อย่างเอาจริงเอาจัง ในเรื่องของความพอ ไม่โลภ แล้วแนวคิดนี้ก็ได้ประทะอย่างจังกับทุนนิยม ผมถามกลับบ้างว่า ในเมื่อมีผู้หนึ่งที่ได้ต่อสู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้เคยเรียกร้องสั่งสอนมาก่อน และเกิดประทะกับแนวคิดทางการเมืองเสรีประชาธิปไตย(แอบอ้าง)และทุนนิยม บุตรของพระพุทธเจ้าจะนิ่งเฉยอยู่หรือครับ...บุตรของพระพุทธเจ้า จะไม่เคียงข้างผู้ที่กำลังบอกให้ประชาชนว่า “พอเถอะ” อย่าโลภเลยบ้างเลยหรือ ??..

               2600 ปีที่ผ่านมา สถาบันกษัตริย์เคียงคู่กับพระพุทธเจ้าในการสั่งสอนให้คนประพฤติดีอย่างไร ไม่ว่าพระองค์ท่านจะทรงปฏิบัติอย่างไร กษัตริย์ยุคนั้น(พระบิดาท่าน)สนับสนุนทุกประการ แม้แต่การยอมรับ ถือปฏิบัติตาม ..แต่พอล่วงมาปีที่ 2600 สถาบันกษัตริย์ทรงทนเห็นการรุกรานของความโลภไม่ได้ ออกมาเป็นแนวหน้า บอกให้พอเพียง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือการนำแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระพุทธเจ้าทรงเคยสั่งสอนตักเตือนมาย้ำ แล้วบุตรของพระพุทธเจ้าจะไม่ยืนเคียงข้างกระนั้นหรือ..??

              ผมไม่แปลกใจหรอกว่าประโยคที่เราได้อ่านตามสื่อที่ว่า “เราทำอะไรให้เขาเกลียดหรือ...” ก็ตรงนี้ไง เพราะเรียกร้องให้ทำตามพระพุทธเจ้าไงครับ

             ที่ผมเองมีความรักกับระบบนี้มากก็เพราะในยุคปัจจุบันผมได้พิสูจน์แล้วว่า ระบบนี้อุปถัมภ์ค้ำชูทุกศาสนา ทุกความเชื่อ ดูแลเอาใจใส่ความทุกข์สุขของประชาชน ของผมนี้ขนาดไม่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาเลยนะครับ

                แต่พี่น้องชาวพุทธแทบแยกไม่ออกเลยนะครับกับศาสนา

หมายเลขบันทึก: 491156เขียนเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 13:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม 2012 22:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะท่านเบดูอิน ไม่ได้เข้ามาทักทายนานมากนะคะ วันนี้ได้พบบันทึกอ่านแล้วก็ชื่นใจและชื่นชมด้วยความจริงใจว่าท่านได้ศึกษาเรื่องพุทธศาสนามากกว่าคนเป็นพุทธอีกนะคะ ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

สลามเดือนอันเป็นศีริมงคลของมุสลิมวันที่สอง ไม่ได้ลับสมองกับท่านเบมานาน

ขอบคุณที่ให้ความรู้เรื่องพระวัติพระพุทธเจ้า

ขอบพระคุณทุกๆท่านนะครับ

มีโอกาสไดไปอินเดียคะ มี สิ่ง ๒ สิ่ง ที่ประทับใจ

รับรู้ เรื่องราว ที่ได้รับการเรียนรู้ จากความรู้เดิม ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

 ข้อที่ ๑      การเดินทางสายกลาง กับความพอเพียง 

 ข้อที่ ๒     คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป    ของทุกเรื่อง ในโลกใบนี้  หากแต่ว่า เราต้องเข้าใจ 

เมื่อครั้งที่ ท่าน มูฮัมมัด ได้มีคำสั่งจากผู้สร้างมนุษญ์(สร้างเยซู สร้างพระพุทธเจ้า สร้างมูฮัมมัด สร้างเรา พ่อแม่เรา) ให้ประกาศศาสนาชื่อ อิสลาม มีทางนำ คือ อัล- กุรอานนั้น(เป็นศาสนาเดียวที่มีการทำอีเว้นท์ใหญ่ และ ประกาศอย่างเป็นทางการ โดยมีศาสนทูตที่มีชีวิตอยู่ ตัวเป็นๆ). ได้มีวรรคสุดท้ายที่ อัลลอฮ์(ผู้สร้างมนุษย์ สัตว์ และ จักรวาล) สั่งกำชับไว้ ที่ท่านมูฮัมมัดกล่าว คือ การไม่ให้ละทิ้ง ศาสนทูตใด ศาสนทูตหนึ่ง ที่เคยถูกส่งมาก่อนหน้าท่าน. นั่นคือสิ่งยืนยันว่า มุสลิมทุกคน มีภาระหน้าที่ที่จะปกป้องเกียรติยศของทุกๆศาสนทูต ก่อนหน้าท่าน โดยอัตโนมัติ ตามคำสอนแห่งปรัชญาอิสลามได้ทันที. หากเราเพียงรับทราบว่า ท่านจะเสียหายจากการแต่งแต้ม ทั้งรู้ตัว ไม่รู้ตัวของเพื่อนมนุษย์.

~ ท่านโมเสส ในระหว่างมีชีวิตอยู่ ไม่เคยประกาศ ศาสนา ชื่อ ยิว ยูดาย หรือ จยูส เลย. แต่ชนชาติเผ่าพันธ์ท่านเองแหละ ที่เรียกตนเองว่า ยิวอิส ~ ท่าน เยซู หรือ อยีซา ก็ไม่เคยประกาศศาสนาชื่อ คริสต์ เลย เพียงแต่หมู่ชนที่ยอมรับในพระเจ้าสมัยนั้น เรียกพวกตนว่า ชาวไครสต์ (ไครสต์ คือ พระเจ้าที่ไม่สามารถจินตนาการรูปได้) หลังจากที่ พระเยซูจากไป ทุกคนก็สอบถามกันเองว่า ท่านคือ ไครสต์หรือเปล่า(ไครสต์ คือ ผู้ยอมรับว่ามีพระเจ้า) เพราะการแต่งกาย และรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด. และมีคนประกาศตนว่าไครสต์กันมากมาย เป็นกลุ่มๆ แยกตนออกจากการมีพระเจ้าเป็นสิ่งปฏิเสธ. ฉะนั้นจึงเกิดชาวไครสต์(คริสต์)ขึ้นมาตั้งแต่นั้น. ~ พระพุทธเจ้า ก็มิได้ประกาศศาสนาชื่อพุทธ ตั้งแต่มีชีวิตอยู่. มีแต่สอนสั่งในปรัชญา ทางพ้นจากทุกข์ ทางอันเป็นสายกลางเพื่อดับทุกข์. พุทธะ คือ ผู้เพียรเรียรู้ ผู้ตื่นในองค์ธรรม ผู้เบิกบาน. ~ มีเพียงท่าน มูฮัมมัด เพียงท่านเดียว ที่การกำหนดเหตุการณ์ของผู้ทรงอานุภาพ ที่ทรงสิทธิ์ในการสร้างทั้งมวล ได้กำหนดให้เกิดการทำอีเว้นท์ใหญ่(สมัยนั้น ไม่มีสถานีวิทยุโทรทัศน์ ให้ทำข่าวอย่างสมันนี้ การสงครามคือ อีเว้นท์หนึ่ง. แล้วทำการ ประกาศ ศาสนาชื่อ อิสลาม มีทางนำที่แน่แท้มั่นคง ไม่ผิดพลาด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขอีก(คือ อัล-กุรอาน) เป็นหลักฐานจากพระเจ้า คือ อัล-กุรอาน. ทำการอย่างสมบูรณ์เรียบร้อยในขณะท่านฯมีชีวิตอยู่ จึงนับได้ว่า เป็นศาสนาเดียวที่กระทำการสมบูรณ์ เป็นทางการ (formal) อย่างสากล และ น่าเลื่อถือ

แง่มุมนี้แหละ ที่มนุษยชาติ ควรศึกษาเพิ่มเติม จงเปิดกว้าง อย่า ปิดกั้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท