อยากให้พี่กลับบ้าน โดย พันศิวา วงศ์วัฒนชัย


ผมอยากจะขอความเมตตาจากท่านผู้ใหญ่ ท่านที่ใจบุญ มูลนิธิต่างๆ หรือใครก็ได้ ที่ช่วยพี่ผมได้ ช่วยพาเค้ากลับบ้าน ให้เขาอยู่กับเรา ถ้าจะตายก็ขอให้ตายที่บ้านเรา ไม่ใช่ที่อื่น ได้โปรดช่วยเราด้วยเถิดครับ

กระผม นายพันศิวา วงศ์วัฒนชัย ผมจะขอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายผมให้ฟัง และช่วยกระจายข่าวนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญ หรือมูลนิธิ หรือหน่วยงานใดๆ ก็ตามที่สามารถทำได้ 

 

ครอบครัวของผมอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ปู่ย่าตายายอพยพมาจากประเทศเวียดนาม แต่แม่ผมและพี่น้องของผมเกิดในประเทศไทย ตอนนี้พ่อผมเสียชีวิตแล้ว ในครอบครัวของผมก็เหลือแม่ พี่ชาย ตัวผม และน้องสาว อีก 2 คน สถานะของครอบครัวเราถือว่าเป็นผู้อพยพหรือในบัตรที่พวกผมเคยถือเรียกพวกเราว่า “ญวนอพยพ” 

 

สมัยก่อนรัฐบาลไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับสำหรับผู้อพยพที่เกิดในไทยได้ถือสัญชาติไทย แต่เราก็สามารถดำเนินชิวิตอยู่ได้ตามปกติ แต่ก็มีขีดจำกัดเฉพาะในจังหวัดสกลนคร จนกระทั่งเมื่อประมาณปี พ.ศ.2538 รัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายว่าคนญวนอพยพที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ชั้นหลาน ได้รับการอนุมัติให้สามารถือสัญชาติไทยได้ เราทุกคนดีใจมาก

 

แต่พี่ชายผมชื่อ นายฟอง เลวัน เป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้สัญชาติไทย พี่ผมเกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2512 ที่โรงพยาบาลสกลนคร จังหวัดสกลนคร ประเทศไทย จบการศึกษามัธยมต้นที่โรงเรียนสกสราชวิทยานุกูล (ม.3) ในระหว่างทางบ้านเราประสบปัญหาทางด้านการเงิน พ่อแม่จึงได้ตัดสินใจ ส่งพี่ผมเค้าได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ราวๆ ปี พ.ศ.2532 ก่อนที่ได้มีประกาศการเปลี่ยนแปลงกฎหมายนโยบายว่าด้วยสัญชาติไทยของคนอย่างพวกผม นั่นหมายถึงพี่ผมเค้ายังถือบัตรญวนอพยพ ตอนที่เดินทางออกไป ในขณะนั้นเขาอายุได้เพียง 20 ปีเท่านั้น  (ปัจจุบันอายุ 43 ปี) 

 

วัตถุประสงค์ของการไป คือ ไปหาเงินเพื่อช่วยเหลือทางบ้าน รวมระยะเวลาถึงปัจจุบันแล้วก็ 20 กว่าปี ในระหว่างนี้ไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย ไม่ได้พบพ่อแม่พี่น้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่โทรคุยกัน 

 

วิธีการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นของพี่ผมสมัยนั้นใช้วิธีสวมพาร์สปอต ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง แต่ช่วนั้นเราไม่มีทางเลือก แล้วพี่ผมซึ่งเป็นลูกชายคนโตก็ยอมเสียสละและเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายและออกนอกประเทศไปเพื่อหาเลี้ยงพวกเราทั้งหมดที่อยู่ที่นี้ 

 

จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2534 คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก พี่ชายผมก็ไม่สามารถกลับประเทศไทยได้เพื่อเคารพศพพ่อ ช่วงแรกๆ ที่ทำงานญี่ปุ่นพี่สามารถทำงานเพื่อส่งเงินมาช่วยเหลือที่บ้านจำนวนมากพอสมควร จนกระทั่งพ่อผมเสีย ครอบครัวเราขาดเสาหลักไป ทำให้ที่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลง มีหนี้สิน จนต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดไป พูดง่ายๆ คือ บ้านแตก ผมอยู่ที่หนึ่ง แม่อยู่ที่หนึ่ง น้องสาวก็อยู่อีกหนี่ง และพี่ชายผมก็อยู่อีกประเทศหนึ่ง 

 

เมื่อราวๆ 5 ปีแล้ว พี่ชายผมถูกตำรวจต.ม.ญี่ปุ่นจับ เข้าสถานกักกัน(คุก) ในระหว่างอยู่สถานกักกันนี้ ผมได้ดำเนินการยื่นเรื่องเข้าไปกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงต่างประเทศ, สถานทูตไทยในญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้พี่เขาออกจากคุกและกลับประเทศไทยให้ได้ โดยนำหลักฐานที่จำเป็นมาแสดงตัวตนของเขา ไม่ว่าจะเป็น

  • สุติบัตร
  • บัตรประจำตัวญวนอพยพ
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • หลักฐานการศึกษา จบ ป.6, จบ ม.3 
  • รูปถ่ายครอบครัว


แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถช่วยให้พี่ชายผมออกจากสถานกักกันหรือกลับประเทศไทยได้เลย ไม่มีใครช่วยได้เหลือเลย พี่ชายผมติดในสถานกักกันอยู่ราวๆ 1 ปี แล้วเค้าจึงถูกปล่อยตัวออกมา แต่ต้องมีการรายงานตัว ต่อเจ้าหน้าที่ทุกๆเดือน พี่ชายผมมีโรคประจำตัวอย่างหนึ่ง คือ ชอบเป็นฝีที่ก้น เวลาเป็นที ลูกเท่าลูกกอร์ฟ เจ็บปวดทรมานมาก จะนั่งจะนอนก็ลำบาก จนต้องหยุดทำงานเป็นอาทิตย์ ส่วนงานที่เค้าทำก็เป็นรับจ้างทั่วไป ด้วยปัญหาสุขภาพตอนนี้ก็ทำงานแบบรายได้พอบ้างไม่พอบ้าง แค่ปะทังชีวิตไปวันๆ 

 

จนกระทั่งวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 พี่ผมเค้าไปหาหมอ และตรวจเจอก้อนเนื้อ ขนาด 7 ซม. ที่ปอด หมอบอกมีโอกาสเป็นมะเร็งสูง จึงต้องตัดชิ้นเนื้อไปตรวจให้ละเอียด และรอฟังผลวันที่ 5 มิถุนายน 2555 ในระหว่างนี้น้องๆ ทุกคนผลัดกันโทรไปให้เค้าเพื่อให้กำลังใจทุกวัน ผมรู้ความรู้สึกของพี่ชายผมดีว่ามันแย่แค่ใหน ต้องอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ 

 

ตั้งเด็กจนโต ผมไม่เคยเห็นเค้าร้องไห้เลย แต่ทุกวันนี้เค้าร้องไห้ เค้าบอกว่า เค้ากลัว เค้ายังไม่อยากตายตอนนี้ อยากเจอแม่และน้องๆ ก่อน ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากโทรคุยกับเค้าได้อย่างเดียว เค้าบอกว่าเค้าอยากกลับบ้าน พวกเราอยากให้เค้ากลับบ้านเหมือนกัน มารักษาที่นี่ มาอยู่ที่นี่ ก่อนที่เค้าจะจากเราไปอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่ได้เห็นหน้าแม่และน้องๆ 

 

พอถึงวันที่ 5 วันที่หมอนัดบอกผลการตรวจ ก่อนหน้านี้พี่น้องเราได้ปรึกษากันว่า ให้บอกหมอก่อนว่าไม่ต้องบอกว่าเป็นอะไร ไม่ต้องบอกว่าอยู่ได้นานเท่าไหร่ ไม่ต้องบอกว่าจะรักษาหายไหม ให้หมอบอกเพียงว่าต้องรักษาอย่างไรก็พอ พี่ชายเค้าก็บอกหมอตามนี้ แต่ผลวินิจฉัย หมอบอกว่า ยังฟันธงไม่ได้ 100% ว่าเป็นมะเร็ง ต้องตรวจให้ละเอียดกว่านี้อีก แต่ที่แน่ๆ คือต้องรักษาให้เร็วที่สุด เอามันออกจากปอดของพี่ชายผม 

 

หมอบอกว่า ต้องใช้เวลานอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน พี่ชายผมจึงเกิดคำถามขึ้นในใจทันทีว่า อยู่โรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นเป็นเดือนจะเอาเงินที่ใหนมารักษา? และใครจะดูแลให้กำลังใจ? พี่ผมจึงได้ขอคำแนะนำจากหมอว่าควรทำอย่างไร หมอบอกว่า ให้กลับไปรักษาในที่ที่เรามา ที่ที่คุยภาษาเดียวกันรู้เรื่อง และมีญาติคอยดูแล นั่นก็คือ “ประเทศไทย” 

 

ญาติพี่น้องทุกคนอยู่ที่นี่หมด และ พวกเราก็รอคอยความหวังอยู่ทุกวันในพี่ได้กลับบ้าน

 

มาถึงตรงนี้ ผมอยากจะขอความเมตตาจากท่านผู้ใหญ่ ท่านที่ใจบุญ มูลนิธิต่างๆ หรือใครก็ได้ ที่ช่วยพี่ผมได้ ช่วยพาเค้ากลับบ้าน ให้เขาอยู่กับเรา ถ้าจะตายก็ขอให้ตายที่บ้านเรา ไม่ใช่ที่อื่น ได้โปรดช่วยเราด้วยเถิดครับ 

 

 

เขียนเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2555

โดย พันศิวา วงศ์วัฒนชัย (น้องชายของพี่ฟอง เลวัน)

 


หมายเลขบันทึก: 491385เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 15:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 02:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ในประการแรก เราพบ "อีกแล้ว" คนสัญชาติไทยโดยการเกิดอีกคนที่ไม่เคยเสียสัญชาติไทยเลย แต่ถูกบันทึกผิดเป็น "คนสัญชาติเวียดนาม" โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยซึ่งเป็นเจ้าของสัญชาติเอง เขาต้องประสบปัญหาความไร้สัญชาติ ถูกปฏิบัติเยี่ยงคนต่างด้าวผิดกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยในสมัยสงครามเย็น

ในประการที่สอง เราจะเห็นว่า มีคนไทยที่ยากจนไปทำงานต่างประเทศเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวอยู่เสมอ และ "ฟอง" ก็คือคนหนึ่งในพวกเขาเหล่านี้

ในประการที่สาม เราคงต้องร้องไห้ที่พบว่า มาตรา ๓๔ วรรค ๓ แห่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติว่า "การเนรเทศบุคคลผู้มีสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามมิให้บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักร จะกระทำมิได้" แต่ฟองซึ่งกำลังป่วยอย่างทุกข์ทรมาณอย่างหนัก ไม่อาจกลับมาให้แม่และน้องดูแลในยามที่ร่างกายอ่อนแอแสนสาหัส 

เราพบอีกว่า มาตรา ๘๐ (๒)  แห่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติให้ "รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านสังคม การสาธารณสุข...." "ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพอันนำไปสู่สุขภาวะที่ยั่งยืนของประชาชน รวมทั้งจัดและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ" แต่ฟองป่วยหนักตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓ และร้องขอกลับเข้ามาอยู่กับครอบครัวในประเทศไทย แต่ถูกกระทรวงมหาดไทยปฏิเสธ.....

ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อไป .....

เรานักกฎหมายคงต้องทำอะไรบ้างอย่าง เพื่อเขาและครอบครัว

หวังว่าจะมีคนลงมาช่วยเขาอีกหลายๆ มือ ขอได้โปรดมาช่วยกันค่ะ

 

ขอบพระคุณอาจารย์ครับ สำหรับกำลังใจ และ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท