เมนูยอดฮิต เป็นพิษต่อสุขภาพ


อาหารเป็นยารักษาโรค และเป็นยาพิษทำลายชีวิตได้เช่นกัน

อาหารเป็นยารักษาโรค และเป็นยาพิษทำลายชีวิตได้เช่นกัน หลายท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้ ก็เชื่อว่าหลายท่านอาจทราบแล้วเช่นกัน แต่ในที่นี้ ผู้เขียนอยากลงบันทึกไว้เตือนใจตนเอง อย่างน้อย ก็ป้องกันมิให้หลงลืมไป เนื่องจากเมนูอาหารที่ผู้เขียนมักจะเคยทานเป็นประจำสมัยวัยรุ่น วันหนึ่งได้ค้นพบว่ามันไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างที่เคยคิด  เพียงแค่ทานเพราะฮิตก็นึกว่าจะไม่เป็นไร แต่กลับกลายเป็นว่ามันมีโทษต่อร่างกายอีกต่างหาก

 

ข้อมูลเมนูยอดฮิตที่เป็นพิษต่อร่างกายมาจาก “Team Content” สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จากแหล่งข้อมูล

http://www.pop.co.th/food/coffee.phtmlstatus=coffee,1883,TH

                              ขอบคุณแหล่งข้อมูลดี ๆ ค่ะ 

 

เมื่ออ่านจบแล้ว ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย อาหาร ของขบเคี้ยว และเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่เคยดื่มทานอย่างเอร็ดอร่อยในช่วงวัยรุ่นที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ประเทศไทยเรารับวัฒนธรรมการบริโภคแบบ "fast food" จากตะวันตกเข้ามาใหม่ ๆ  ทานไปหลายปีทีเดียว  แต่หากถาม ณ วันนี้ ต้องบอกว่าหลายประเภทไม่ได้ทานมานานนับสิบกว่าปีแล้ว  เหลือเพียงไม่กี่ประเภทที่ยังคงทานอยู่ แม้ไม่บ่อย แต่ก็ไม่ใช่น้อย 

 

ลองมาทบทวน สิ่งที่เรามักเผลอใจทานกันไปหน่อยดีไหมคะ รู้แล้วจะเลิกได้หรือเปล่า ตอนท้ายจะเฉลย เมนูอาหารที่ยังคงอดใจไม่ได้ แต่จากนี้ไป ช่วยเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ จะขอเลิกทานแล้วค่ะ

                   

                                           ภาพจาก www.atcloud.com

1. แฮมเบอร์เกอร์จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุงทำให้มี “แบคทีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ “สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส”

 

 

 

 
     ภาพจาก  www.kbusociety.eduzones.com

2. ฮอทด็อก เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์และ “ฮอทด็อก” ทั้ง หมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม โดย “สารไนไตรท์” เป็นสารที่ทำให้เกิด “โรคมะเร็ง” ในกระเพาะอาหารมะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อก ก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด“โรคมะเร็ง” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่าง มันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acryl imides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ “ทำลายประสาท”

 

 

              ภาพจาก topicstock.pantip.com

  3. เฟร้นช์ฟราย- มันฝรั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝรั่งยังมี“ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก... นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก

 
 
 
                   
                                 ภาพจาก www.sakid.com

4. คุกกี้ที่เด่นชัดมาก คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น 

 
 
 
                                      ภาพจาก www.oknation.net

5. พิซซ่า ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิด คือ... 1. “เนยแท้” (cheese) เพียง 10% เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย... 2.“แป้ง” ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสีทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้า ไปใหม่... 3. “ซอสมะเขือเทศ” ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน... 4. “แป้งสาลี” ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม 5. “น้ำมันฝ้าย” โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ในฝ้าย เมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่าง ๆ เอาไว้ได้มากที่สุด ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณะสุข ต่างไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น “น้ำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจมี “สารอะคริลิไมด์” เกิดขึ้นด้วย ขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่น ๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน 

 
 
 
                               ภาพจาก www.ndpyouth.com

6. น้ำอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric  acid) (หมายเหตุท้ายบันทึก)  ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวของน้ำอัดลมจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Diet soda ที่ใช้“น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขณะที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลม ยังเป็น "สารก่อมะเร็ง" ด้วย

 

   ภาพจาก www.teen.mthai.com

 7. ชิ้นไก่ทอด-เนื้อนุ่มไร้กระดูก เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลัง งาน 340 แคลอรี่50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส“MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี“สารอะลูมิเนียม” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย

 

   ภาพจาก www.showded.com

8. ไอศกรีมมีไขมันอยู่สูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มากเกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Trans fat) ไปจากธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง


   ภาพจาก www.showded.com

9. โดนัท โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีและยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

  ภาพจาก www.topnews.in

 

10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง ในปัจจุบันมีการบริโภคโปเตโต้ชิพกันมาก โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์และทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารอะคริลิไมด์ (Acryl imides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทออกมา นอกจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว นอกจากนี้ในโปเตโต้ชิพยังมีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้และยังไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่รับประทานเข้าไปได้น้อยลง ทำให้ปิดกั้นการดูดซึมสารคาโรทินอยด์และสารเคมีอื่น ๆ ที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง

   

อาหารชนิดเดียวที่ผู้เขียนยังคงทานอยู่ (บ้าง) แม้ไม่บ่อย ก็คือ       "ฮอทด็อก" ค่ะ และยังมีไส้กรอกอีกด้วย  สาเหตุเพราะทานง่าย เป็นอาหารที่ทานเร็ว ๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน ที่สำคัญรสชาติอร่อยเกินห้ามใจ แต่ก็เพิ่งเลิกทานมาได้ไม่กี่เดือนนี้นะคะ เวลาเดินผ่านร้านค้า จะเดินเร็ว ๆ 

 

อยากทราบจังเลยว่าเวลาเลิกทานอาหารโปรดที่เป็นโทษต่อร่างกาย เลิกยากเหมือนเลิกบุหรี่หรือเปล่า กัลยาณมิตรท่านได้จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็จะยินดีอย่างยิ่งเลยค่ะ

                                             ขอบคุณที่แวะมาเยือนค่ะ


หมายเหตุท้ายบันทึก

6. น้ำอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric  acid)

เจ้า Phosphoric acid นี่ไม่ใช่กรดกำมะถันค่ะ เป็นกรดฟอสโฟริก ส่วนกรดกำมะถันคือซัลฟูริก ซึ่งอันตรายกว่ามาก แต่กรดฟอสฟูริกก็ไม่ใช่ของมีประโยชน์เหมือนกันค่ะ กินมากก็เป็นโทษด้วย

                                      ขอบคุณอาจารย์Blank โอ๋-อโณ มากค่ะ 


คำสำคัญ (Tags): #เมนูยอดฮิต
หมายเลขบันทึก: 492145เขียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 15:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 17:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

ข้อมูลนี้สามารถนำไปบอกต่อและบอกตัวเองได้เลยครับ

น่ากิน เป็น กิเลส

หากกินแล้ว เป็น ตัณหา

;)...

  • อาจารย์นพลักษณ์ ๑๐ Blank เลิกทานหมดทุกอย่างแล้วหรือยังคะ 
  • เชื่อว่าเมนูที่กล่าวมาข้างต้น คงไม่สร้างกิเลสให้อาจารย์แล้วแน่เคย เห็นแล้วก็อย่างงั้น ๆ ใช่ไหมคะ  "สวยแต่รูป" ทำอะไรอาจารย์ไม่ได้หรอก

ต้องระวังมาก น.น.ขึ้นโดยไม่รู้ต้วนะคะ

ขอบคุณ บทความดีดีนี้คุะ

  • ดีมากเลยค่ะ คุณ Somsri Blank  เรามาช่วยกันดูแลน้ำหนักตัวเอง และระวังมิให้เกิดมะเร็ง เบาหวาน และชราเร็วเกินไป
  • ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยม 

วันนี้ดีใจได้อ่านบันทึกคุณภาพที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหลายบันทึกค่ะของคุณศิลาบอกให้พึงระวังลดเลิกได้เป็นดี ขอบคุณค่ะ

สบายดีนะคะ ทราบว่าเดินทางตลอดเวลาเลย

  • สวัสดีค่ะคุณดาวลูกไก่ Blank  สบายดีนะคะ ติดตามข่าวคราวบ่อย ๆ ทั้ง fb และ g2k ค่ะ  เห็นแล้วก็มีความสุข เวลาเห็นกัลยาณมิตรที่คุ้นเคยปรากฎตัวให้เห็นทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง รู้สึกว่าไม่มีอะไรขาดหายไป สบายใจดีจังค่ะ
  • ถึงแม้จะเดินทางไป ๆ มา ๆ ต่างจังหวัดบ่อย ๆ  แต่ก็แอบเปิด fb กับ g2k เสมอค่ะ มิให้ตกข่าวเพื่อนฝูง เพียงแต่ยอมรับว่าบางครั้งเหนื่อยจนทักทายไม่ออก ได้แต่แอบอมยิ้มกับข่าวคราวอยู่เงียบ ๆ ค่ะ 
  • ดีใจที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ ตลอดไปนะคะ 

*อาหารเหล่านี้..หลานรักชอบนักหนา..เมื่อเขาเป็นเด็ก ป้าใหญ่ทำตัวเป็นถังขยะของเขาเสมอ

* ครั้นไปตรวจร่างกาย พบว่าไขมันในเส้นเลือดเของป้าใหญ่ขึ้นถึง 300..ส่วนคุณหลานส่อเค้าเป็นเด็กอ้วน

* จากนั้นมา..จนบัดนี้..ทั้งป้าและหลานงดหมดเด็ดขาด..

* เมนูอาหารไทยประเภทแกงส้ม แกงป่า..ดีที่สุดค่ะ..เหมือนกินยาหม้อใหญ่..

 

  • ส่วนใหญ่แล้ว วัยเรา ๆ มักเลิกทานกันแล้วค่ะ อิอิ ขออนุญาตรวมอยู่ในกลุ่มวัยเดียวกันนะคะ พี่ใหญ่ Blank  เราเห็นโทษของมันผ่านคนใกล้ชิดและจากตัวเราเองแล้ว และก็เชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีเพียงประสบการณ์เคยทานมาก่อนเท่านั้น
  • แต่สำหรับวัยเด็ก วัยรุ่นน่าเป็นห่วงจริง ๆ หลานตัวน้อยของศิลาชอบทานไอศกรีมกับเค้กมากค่ะ และยังฮอทด็อกอีก แหม ทานเหมือนป้าสมัยก่อนเลย 
  • จะพยายามเตือนแม่เขาให้ดูแลดี ๆ หน่อย  นี่ก็ส่งบันทึกนี้ไปให้อ่านทางอีเมล์ค่ะ หวังว่าจะกลับใจทัน 
  • ส่วนแกงส้ม แกงป่า แกงเลียง แกงเห็ด ชอบมาก ๆ เลยค่ะ นาน ๆ ทีจะเห็นของชอบของเรามีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างนี้ ต้องทานบ่อย ๆ นะคะ 

ทั้งๆที่รู้แต่คนเรามักแพ้ใจตัวเองจนแอบ.....เข้าปากไม่ได้

อันตรายจริงๆเลยนะคะ

  • ขอบคุณสำหรับบันทึกที่มีประโยชน์จ้ะ
  • จริงด้วยค่ะ คุณ krugui   Blank คำว่า "แพ้ใจตัวเอง" เวลาตัดสินใจซื้อมาทาน ก็จะอ้างกับตัวเองในตอนนั้น ว่านาน ๆ ทีทานที ไม่เป็นไรหรอก เรียกว่า แพ้ใจตัวเองได้เลยค่ะ แพ้ความอยากทาน อาหารพวกนี้ มีความอร่อยถูกปากอย่างมาก เด็กและผู้ใหญ่ห้ามใจกันยาก แม้ทราบว่ามีโทษ แต่ก็อ้างเหตุผลกับตัวเองเวลาอยากทานได้เสนอ
  • ตอนนี้กำลังห้ามความอยากอยู่ค่ะ เตือนตัวเองเสมอว่ามีของน่าทานอีกมาก แต่แปลกมากนะคะ ของประเภทเป็นพิษภัยต่อสุขภาพ หาทานได้ง่ายกว่ามากเลยค่ะ 

อาจเป็นคนไม่ทันสมัยในเรื่อง อาหารที่ยกมาจึงไม่เคยลองชิม

เสต็กครั้งเดียวและครั้งแรกในชีวิต อาจารย์ ขจิตพาไปกิน มเกษตรศาลายา

ใส่เครื่องไม่ถูกจึงทำให้ของอร่ยๆไม่อร่อย

เหมือนกับคนกินข้าวยำ หากใส่เครืองปรุงไม่ถูกก็ลดความอร่อย ใช่ว่าจะเทใส่รวมๆแล้วซาวๆให้มันยำกัน

ทั้งข้าวยำ ดังข้าวคั่ว น้ำแกง(น้ำเคย) มะพร้าวคั่ว สารกุ้งหรือปลาป่น สอนในการมีกรรมวิธี

เพีงแต่กรรมวิธีกินข้าวยำก็เล่าได้เป็นหน้ากระดาษ แต่อาหารฟาดฟู๊ดออกจากร้ากัดกินได้ทันที ...ก็เหมาะดีกับความเร่งรีบ

แต่ขาดศิลในการกิน แลกเปลี่ยนมาตามทัศนะคนรุ่น ส้ากี้(บุ้งกี๋)ย่านปด ที่ยังไมหมดไปจากประเทศไทย

  • เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะท่านวอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei-- Blank อ่านความเห็นท่านแล้วน่าคิดมาก ตรงที่ว่าอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายล้วนเป็นของนำเข้าทั้งนั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราก็ควรทานอาหารท้องถิ่น อาหารพื้นเมืองเราดีที่สุด หรือไม่ก็อาหารที่ทานง่าย ๆ ผักลวกจิ้ม น้ำพริก แกงป่า แกงส้ม ต้มยำ เน้นสมุนไพรเยอะ ๆ ของหวานก็เลี่ยงเสีย เน้นผลไม้ หรือหากเป็นขนมไทย ก็ลดน้ำตาลลง แค่นี้ก็อยู่ได้ ไม่ต้องตามสังคมรุ่นใหม่ อีกไม่นานร้านค้าที่ขายอาหารพวกนี้ ก็จะได้เปลี่ยนทิศทางมาขายข้าวยำในห้างแทน ดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปทานไกล ๆ อีกต่อไป ยังไงก็เป็นอาหารคนไทยเหมือน ๆ กัน

ขอบคุณครับอาจารย์..ที่กล่าวมานี้เคยกินมาแล้วทั้งหมด อาจจะเป็นเพราะรวดเร็ว สดวกสบาย หาง่ายโดยเฉพาะในศูนย์การค้าต่าง ๆ... ช่วงหลังมานี้หลังจากต้องไปพบหมอพร้อมกับเจาะเลือดทุกสามเดือนพร้อมกับต้องกินยาทั้งก่อนและหลังอาหาร ..เลยทำให้ต้องเลิกกิน ..แม้ว่าจะยังมีความอยากกินเมื่อพบปะเจอะเจออยู่บ่อย ๆ ...แต่ก็ต้องตัดใจจากความอยาก ..คำกล่าวที่ว่า "กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร" นั้นน่าจะถูกต้องครับ

  •   "กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร"  มาด้วยความคมเสมอค่ะ คุณกร  Blank ขอบคุณมากค่ะสำหรับประสบการณ์ที่มาแบ่งปัน อาหารประเภทนี้เกิดผลร้ายต่อร่างกายจริง ๆ ด้วย ฟังจากสิ่งที่คุณกรประสบด้วยตัวเอง โดยส่วนตัวแล้ว ยังไม่พบผลเสียชัดเจน อาจจะกำลังอยู่ในช่วงสะสมค่ะ แต่ก็เลิกแต่เนิ่น ๆ ดีกว่ารอพิสูจน์ค่ะ อิอิ
  • ตอนนี้พยายามทานผักค่ะ โดยเฉพาะเห็ด ทานทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ต้องทำอาหารทานเอง ส่วนออกไปข้างนอกก็ทานข้าว ทานแป้งน้อย ๆ ค่ะ 

คุณ Blankคะ ทุกข้อถูกต้องและจริงอย่างที่สุดเลยค่ะ แต่มีคลาดเคลื่อนที่ 

6. น้ำอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric  acid)

เจ้า Phosphoric acid นี่ไม่ใช่กรดกำมะถันค่ะ เป็นกรดฟอสโฟริก ส่วนกรดกำมะถันคือซัลฟูริก ซึ่งอันตรายกว่ามาก แต่กรดฟอสฟูริกก็ไม่ใช่ของมีประโยชน์เหมือนกันค่ะ กินมากก็เป็นโทษด้วย 

เราต้องช่วยกันชี้ให้คนในสังคมเห็นถึงผลร้ายต่อสุขภาพแบบค่อยๆกัดกร่อนนี้กันเยอะๆนะคะ อาหารพื้นบ้านของเราที่มีมาแต่โบราณถึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพจริงๆค่ะ มีข้อแนะนำว่า อาหารอะไรที่มีส่วนประกอบที่เป็นวัสดุปรุงแต่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติเกิน 3 อย่างก็อย่าไปเอาเข้าปากเลยค่ะ อวัยวะต่างๆในร่างกายเราจะทำงานหนักโดยใช่เหตุ แล้วเขาก็จะอายุใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น เป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้ง่ายมากเลยนะคะ แต่คนยังตระหนักกันน้อยไปหน่อย ต้องช่วยๆกันเตือนค่ะ ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่นะคะ

 

  • ขอบคุณค่ะ อาจารย์ โอ๋-อโณ   Blank ที่กรุณาแก้ไขข้อมูลให้
  • ลงบันทึกโดยอ้างอิงข้อมูลความรู้ที่เราไม่มีความรู้ก็มีความเสี่ยงเหมือนกันนะคะ ตอนแรกที่อ่าน ก็เอะใจคำว่า "กรดกำมะถัน"อยู่ค่ะ ว่ามันเข้าไปอยู่ในน้ำอัดลมได้อย่างไร แต่ไม่แม่นศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ว่าใช้ชื่อว่าอะไร
  • หากไม่ได้อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายให้ ก็คงบอกต่อกันไปผิด ๆ แน่นอน แต่ขออนุญาตไม่ไปแก้ในบทความเขาที่อ้างอิงไว้ในบันทึก  ขอให้เป็นหมายเหตุท้ายบันทึกแทนค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ 
  • ขอบคุณคุณมะเดื่อ Blank ที่แวะมาเยี่ยมเยือนค่ะ 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท