อาหารเป็นยารักษาโรค
และเป็นยาพิษทำลายชีวิตได้เช่นกัน หลายท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้
ก็เชื่อว่าหลายท่านอาจทราบแล้วเช่นกัน แต่ในที่นี้
ผู้เขียนอยากลงบันทึกไว้เตือนใจตนเอง อย่างน้อย
ก็ป้องกันมิให้หลงลืมไป
เนื่องจากเมนูอาหารที่ผู้เขียนมักจะเคยทานเป็นประจำสมัยวัยรุ่น
วันหนึ่งได้ค้นพบว่ามันไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างที่เคยคิด
เพียงแค่ทานเพราะฮิตก็นึกว่าจะไม่เป็นไร
แต่กลับกลายเป็นว่ามันมีโทษต่อร่างกายอีกต่างหาก
ข้อมูลเมนูยอดฮิตที่เป็นพิษต่อร่างกายมาจาก “Team Content”
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) จากแหล่งข้อมูล
http://www.pop.co.th/food/coffee.phtmlstatus=coffee,1883,TH
ขอบคุณแหล่งข้อมูลดี ๆ
ค่ะ
เมื่ออ่านจบแล้ว
ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย อาหาร ของขบเคี้ยว
และเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่เคยดื่มทานอย่างเอร็ดอร่อยในช่วงวัยรุ่นที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ประเทศไทยเรารับวัฒนธรรมการบริโภคแบบ
"fast food" จากตะวันตกเข้ามาใหม่ ๆ ทานไปหลายปีทีเดียว
แต่หากถาม ณ วันนี้
ต้องบอกว่าหลายประเภทไม่ได้ทานมานานนับสิบกว่าปีแล้ว
เหลือเพียงไม่กี่ประเภทที่ยังคงทานอยู่ แม้ไม่บ่อย
แต่ก็ไม่ใช่น้อย
ลองมาทบทวน สิ่งที่เรามักเผลอใจทานกันไปหน่อยดีไหมคะ
รู้แล้วจะเลิกได้หรือเปล่า ตอนท้ายจะเฉลย เมนูอาหารที่ยังคงอดใจไม่ได้
แต่จากนี้ไป ช่วยเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ จะขอเลิกทานแล้วค่ะ
ภาพจาก
www.atcloud.com
1. แฮมเบอร์เกอร์จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง”
เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ”
มาใช้ปรุงทำให้มี “แบคทีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้
“สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย
ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่
“สารปรุงรส”
ภาพจาก
www.kbusociety.eduzones.com
2. ฮอทด็อก เป็นอีก “เมนูอันตราย”
เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์และ “ฮอทด็อก” ทั้ง
หมดยังใส่ “สารไนไตรท์”
เพื่อช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม โดย “สารไนไตรท์”
เป็นสารที่ทำให้เกิด “โรคมะเร็ง” ในกระเพาะอาหารมะเร็งในเม็ดเลือด
เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ “ถุงหลอด”
ที่ใช้บรรจุฮอทด็อก ก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์”
ที่เป็นสารก่อให้เกิด“โรคมะเร็ง” ได้สูง
มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่าง
มันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acryl
imides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ
“ทำลายประสาท”
ภาพจาก topicstock.pantip.com
3. เฟร้นช์ฟราย- มันฝรั่งทอด เป็นอาหารที่มี
“ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี
“สารอะคริลิไมด์” ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน”
ที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์”
ในมันฝรั่งยังมี“ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก...
นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก
ภาพจาก www.sakid.com
4. คุกกี้ที่เด่นชัดมาก คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23
กรัมเลยทีเดียว
ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
ภาพจาก
www.oknation.net
5. พิซซ่า ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิด
คือ... 1. “เนยแท้” (cheese) เพียง 10% เท่านั้น
ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย... 2.“แป้ง”
ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสีทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว
แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้า ไปใหม่...
3. “ซอสมะเขือเทศ” ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง
“ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน... 4.
“แป้งสาลี” ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม 5. “น้ำมันฝ้าย”
โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร
มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ในฝ้าย
เมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่าง ๆ เอาไว้ได้มากที่สุด
ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณะสุข
ต่างไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น
แต่มันเป็น “น้ำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจมี
“สารอะคริลิไมด์” เกิดขึ้นด้วย ขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า
“เพ็พเปอโรนิ” หรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์”
สารกันบูดและสารเคมีอื่น ๆ
รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน
ภาพจาก www.ndpyouth.com
6. น้ำอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน
“น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) (หมายเหตุท้ายบันทึก) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน
4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้และ
“น้ำโซดา”
ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวของน้ำอัดลมจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก
จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมี
“น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่12 ช้อนชา
ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Diet
soda ที่ใช้“น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener)
เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น
เพราะน้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก
ขณะที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลม ยังเป็น "สารก่อมะเร็ง" ด้วย
ภาพจาก
www.teen.mthai.com
7.
ชิ้นไก่ทอด-เนื้อนุ่มไร้กระดูก
เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว
การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลัง งาน 340 แคลอรี่50% เป็นไขมัน
มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง
มีการเติมสารปรุงรส“MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้
“นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี“สารอะลูมิเนียม”
ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย
ภาพจาก
www.showded.com
8. ไอศกรีมมีไขมันอยู่สูงมากเกินกว่า 50%
ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มากเกือบ 40%
ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น
เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Trans fat)
ไปจากธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล
ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน
ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
ภาพจาก
www.showded.com
9. โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ในโดนัท 1
ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50%
ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก
ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูง
ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้นทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลง
เป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีและยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
ภาพจาก www.topnews.in
10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง
ในปัจจุบันมีการบริโภค “โปเตโต้ชิพ” กันมาก
โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์และทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารอะคริลิไมด์
(Acryl imides)
ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทออกมา
นอกจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1
ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า
เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้การรับประทานโปเตโต้ชิพ
1 ชิ้น
อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1
แก้ว นอกจากนี้ใน “โปเตโต้ชิพ”
ยังมีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก
ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้และยังไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน
ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่รับประทานเข้าไปได้น้อยลง
ทำให้ปิดกั้นการดูดซึม “สารคาโรทินอยด์”
และสารเคมีอื่น ๆ
ที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง
อาหารชนิดเดียวที่ผู้เขียนยังคงทานอยู่ (บ้าง) แม้ไม่บ่อย
ก็คือ "ฮอทด็อก" ค่ะ
และยังมีไส้กรอกอีกด้วย สาเหตุเพราะทานง่าย เป็นอาหารที่ทานเร็ว
ๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน ที่สำคัญรสชาติอร่อยเกินห้ามใจ
แต่ก็เพิ่งเลิกทานมาได้ไม่กี่เดือนนี้นะคะ เวลาเดินผ่านร้านค้า
จะเดินเร็ว ๆ
อยากทราบจังเลยว่าเวลาเลิกทานอาหารโปรดที่เป็นโทษต่อร่างกาย
เลิกยากเหมือนเลิกบุหรี่หรือเปล่า
กัลยาณมิตรท่านได้จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็จะยินดีอย่างยิ่งเลยค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาเยือนค่ะ
หมายเหตุท้ายบันทึก
6. น้ำอัดลม
สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric
acid)
เจ้า Phosphoric acid
นี่ไม่ใช่กรดกำมะถันค่ะ
เป็นกรดฟอสโฟริก ส่วนกรดกำมะถันคือซัลฟูริก ซึ่งอันตรายกว่ามาก
แต่กรดฟอสฟูริกก็ไม่ใช่ของมีประโยชน์เหมือนกันค่ะ
กินมากก็เป็นโทษด้วย
ขอบคุณอาจารย์ โอ๋-อโณ มากค่ะ