ความหมายคำว่า “การศึกษา”
คำว่า “การศึกษา” ภาษาอังกฤษ “eduction” มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน “educare” หมายถึงเลี้ยงดู อบรม บ่มเพาะ (“to bring up") ซึ่งประกอบด้วยคำว่า “e” ภายนอก และ “ducere” นำไปสู่, เจริญก้าวหน้า ("to lead; to bring forward") ดังนั้น การศึกษาจึงมีนัยยะถึงการทำให้เกิดความจริญงอกงามและเป็นการดึงศักยภาพจากภายในออกมาสู่ภายนอก
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ นิยามคำว่า “การศึกษา” หมายความว่า “กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึกการอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต”
คำว่าการศึกษาจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาให้เด็กเจริญเติบโตงอกงาม โดยเมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติตามมาตรา ๖ จะเห็นชัดเจนว่าการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
คำว่า “มนุษย์ที่สมบูรณ์” ทั้งกาย ใจ และสติปัญญาจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการศึกษา ปัญหามีอยู่ว่าจะพัฒนาอย่างไรให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ขอกลับมาที่ความหมายของคำว่า “การศึกษา” อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เข้าใจคำว่า “มนุษย์ที่สมบูรณ์” มากยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณา คำว่า “ศึกษา” ที่คนไทยนำมาใช้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “สิกขา” ในภาษาบาลี อันประกอบด้วยที่มาของความหมายดังนี้[1]
๑. สิกฺขา มาจากคำว่า สยํ + อิกฺข สยํ แปลว่า เอง อิกฺข แปลว่า เห็น หมายถึง “เห็นเอง”
๒. สิกฺขา มาจากคำว่า สห + อิกฺข สห แปลว่า ร่วม ร่วมกัน อิกฺข แปลว่า เห็น หมายถึง “เห็นร่วมกัน”
๓. สิกฺขา มาจากคำว่า สยํ + อิกฺข สมฺมา แปลว่า ดี ชอบ อิกฺข แปลว่า เห็น หมายถึง “เห็นดี เห็นชอบ”
ศึกษาหรือสิกขาตามแนวพุทธจึงหมายถึง “การศึกษาเล่าเรียนหรือการเรียนรู้ ประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ อันเกิดจากการเห็นเอง เห็นร่วมกัน ส่งผลให้เกิดความรู้ที่เป็นความรู้ที่ดีที่ชอบประกอบด้วยประโยชน์” ซึ่งตามหลักไตรสิกขา หรือ สิกขา ๓ ประกอบด้วย
๑. สีลสิกขา ศึกษาเรื่องศีล ความปกติทางกายทวารของตัวเรา
๒. สมาธิสิกขา ศึกษาเรื่องสมาธิ ความตั้งมั่นทางจิตใจของตัวเรา
๓. ปัญญาสิกขา ศึกษาเรื่องปัญญา ความรู้ ความสามารถที่เกิดจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ด้วยตัวเอง
"ศึกษา" และ "สิกขา" จึงมีรากฐานตามแนวพุทธวิถี ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่จะต้องศึกษาให้ "รู้" ถึง "กาย" "ใจ" นำไปสู่ "ปัญญา" ที่งอกงามขึ้นตามลำดับ
การพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
การศึกษาจึงเป็นเรื่องของการพัฒนาทั้งในด้านกาย ใจและสติปัญญา ทั้งนี้ การอธิบายความหมาย “การศึกษา” ข้างต้นโดยเริ่มจากรากศัพท์ เพียงเพื่อจะนำไปสู่การพิจารณาว่าไม่ว่าทิศทางการพัฒนาการศึกษาจะเป็นไปอย่างไรตามนโยบายหรือการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วน แต่สิ่งที่สำคัญคือรากเหง้าอันได้แก่ “ภูมินิเวศน์” ที่จะต้องปลูกฝังให้เยาวชนไทยได้ศึกษาครบมิติทั้งประวัติศาสตร์ สังคมและการเมืองของไทยไปจนถึงการทำความเข้าใจในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของถิ่นฐานบ้านเกิดที่เราได้ใช้ชีวิตสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และโดยเฉพาะ “ภูมิธรรม” ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันมิให้เยาวชนเติบโตอย่างผิดทิศผิดทาง
การศึกษาเพื่อการพัฒนาให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นตรงกับหลักพุทธศาสนา โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) เรียกว่าการพัฒนา ๔ ด้าน[2]
“๑. พัฒนากาย… แยกได้เป็นหลายอย่าง อย่างง่ายที่สุดก็คือพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง มีสุขภาพดี หายโรคหายภัย ปราศจากโรค เท่าที่เป็นไปได้… แต่พุทธศาสนายังพูดต่อไปอีกถึงการพัฒนากายในความหมายว่าเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพอย่างถูกต้องดีงาม …
๒. พัฒนาศีล… คือ การพัฒนาการอยู่ร่วมกันในสัมคมด้วยดี อย่างเกื้อกูลเป็นประโยชน์และมีอาชีพที่ถูกต้อง… พัฒนาศีลนี่เป็นปัจจุบันเขาเรียกว่า “พัฒนาการทางสังคม”
๓. พัฒนาจิต… เป็นการฝึกอบรมเสริมสร้างจิตใจให้พรั่ง พร้อมสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติทั้ง ๓ ด้าน คือ
๑) คุณภาพจิต ได้แก่ คุณธรรมต่าง ๆ คือ สร้างเสริมจิตใจให้ดีงาม…
๒) สมรรถภาพจิต หรือความสามารถของจิต
๓) สุขภาพจิต คือ มีจิตที่มีสุขภาพดี
๔. พัฒนาปัญญา… แบ่งเป็นอย่างคร่าว ๆ ดังนี้
(ขั้นที่ ๑) คือ ปัญญาที่เป็นความรู้ความเข้าใจในศิลปวิทยาการ…
(ขั้นที่ ๒) ลึกซึ้งลงไปอีก คือ การรับรู้เรียนรู้อย่างถูกต้องตามความจริง ไม่บิดเบือนหรือเอนเอียงด้วยอคติ…
(ขั้นที่ ๓) เหนือจากการรับรู้ไป… คือการคิดการวินิจฉัย ซึ่งหมายถึงการคิดวินิจฉัย ด้วยการใช้ปัญญาโดยบริสุทธิ์ใจ...
(ขั้นที่ ๔) คือปัญญาที่รู้จักเข้าใจโลก และชีวิตตามความเป็นจริงทางเสื่อมทางเจริญและเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง รู้วิธีแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์ความสำเร็จ ที่ทำให้พัฒนาคน พัฒนาชีวิตและสังคม ให้เจริญดีงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป
(ขั้นสุดท้าย) ได้แก่ ปัญญาที่รู้เท่าทันธรรมดาของสังขาร คือโลกและชีวิต เข้าถึงความจริงแท้ ถึงขั้นทำให้จิตในเป็นอิสระ หลุดพ้นจากความทุกข์โดยสมบูรณ์…
การพัฒนาทั้ง ๔ ด้านดังกล่าวเป็นการพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก ถ้าพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าการพัฒนาปัญญาในการศึกษาของไทยเราเพียงแค่ขั้นที่ ๑ เท่านั้น จึงยังอีกห่างไกลมากและยากที่จะทำให้ใครเข้าใจถึงปัญญาในขั้นที่สูงขึ้นเรื่่อย ๆ แต่หากเริ่มต้นปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัยก็จะเป็นการติดตั้งเครื่องมือการเรียนรู้ให้กับเด็ก ทำให้เด็กมองเห็นต้นทางที่จะพัฒนาต่อไปได้ด้วยตนเอง
แนวทางการปลูกฝังดังกล่าว ครู ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ควรมุ่งเน้นที่การศึกษาแบบให้เกิดการเรียนรู้ที่ดึงศักยภาพภายในออกมาภายนอก หรือเป็นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ สอดคล้องกับคำกล่าวของศ.นพ.ประเวศ วะสีจากหนังสือ “ธรรมชาติของสรรพสิ่ง การเข้าถึงความจริงทั้งหมด” ที่ว่า
“การเรียนรู้ต้องปฏิสัมพันธ์กันทั้งภายนอกและภายใน และ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน หรือ จิตใจตัวเองด้วยทุกครั้งไปที่มีการเรียนรู้ การเรียนรู้จึงจะพัฒนาความเป็นมนุษย์ หรือ ก่อให้เกิดความเจริญอย่างแท้จริง...”
มาถึงตรงนี้ คำว่าการศึกษาจึงชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หากมองให้ถึงแก่นแท้ว่าการศึกษาคือการเปลี่ยนแปลงจากภายในให้เจริญงอกงามได้ด้วยตนเอง
การสอนให้เด็ก “เก่ง” “ฉลาด” จึงไม่สำคัญเท่ากับสอนให้ “ดี” และการสอนให้ “ดี” นั้นยากมาก เพราะการจะดีหรือไม่ อยู่ภายในที่ลึกยากแท้หยั่งถึง ไม่เหมือน “ฉลาด” ที่วัดไอคิวได้ หรือ “เก่ง” ที่วัดจากความสามารถประเภทต่าง ๆ ได้ ความดีอาจไม่ใช่สิ่งที่ปรากฎให้เห็นจากภายนอกเท่านั้น แต่คือปัญญาที่เหนือกว่าปัญญาทั่วไป มีความเป็นปกติ ธรรมดา สงบเย็นและงดงามจากภายใน
ในชีวิตของผู้เขียน พบท่านผู้หนึ่งซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายคำว่า “มนุษย์ที่สมบูรณ์” ท่านเป็น “อาจารย์หมอศิริราช” แต่มานั่งเรียนกฎหมายทั้งที่อีกไม่ถึง ๑๐ ปีท่านก็จะเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อจรัญ เป็นคุณหมอที่สมถะมาก มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าผู้ที่ท่านจะพูดคุยทักทายด้วยเป็นใคร ท่านจะใช้คำพูดว่า "ท่าน" กับ "กระผม" และลงท้ายว่า "ครับท่าน" อยู่เนืองๆ และมีรอยยิ้มที่แจ่มใส น้ำเสียงอ่อนโยน ท่านมีภรรยาซึ่งเป็นหมอและใฝ่ธรรมะเช่นกัน ท่านเคยพาผู้เขียนและครอบครัวไปเยี่ยมบ้านของท่าน ท่านพานั่งรถกระบะธรรมดาคันหนึ่งไป บ้านของท่านคือคอนโดห้องไม่ใหญ่โตอะไร มีห้องนอน ห้องน้ำ มีมุมทานอาหาร และมุมนั่งสมาธิ คอนโดนี้อยู่ใกล้ริมน้ำที่เป็นคลองแยกออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ไม่ไกลโรงพยาบาลศิริราช
ผู้เขียนไม่กล้าถามว่าท่านมาเรียนกฎหมายทำไม และจริง ๆ แล้วท่านก็ไม่ได้เรียนแค่นี้ ท่านยังเรียนอีกหลายสาขาวิชา หลังจากจบนิติศาสตร์ ท่านก็เรียนภาษาบาลีอย่างจริง ๆ จัง ๆ ต่อเนื่องไป ในแต่ละปี ท่านจะเชิญชวนให้แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเดินทางไปปฏิธรรมที่วัดหลวงพ่อจรัญ จ. สิงห์บุรี และมีกิจกรรมทำบุญหลายอย่าง ได้แก่ ปล่อยโคกระบือ คำกล่าวหนึ่งที่ท่านบอกผู้เขียนก็คือ "เมื่อเราตายไปแล้ว เราเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ มีเพียงจิตที่ถูกพัฒนาแล้วเท่านั้น" และท่านยังแนะนำผู้เขียนว่าหากอยากเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิให้เริ่มจากอธิษฐานบารมี และพากเพียรที่จะปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้ สิ่งที่ผู้เขียนเห็นคือชีวิตท่านสงบสุขเรียบง่าย ไม่พะรุงพะรัง
นอกจากตัวอย่างพี่หมอท่านนี้แล้ว ผู้เขียนก็นึกถึงอาจารย์ของผู้เขียน ท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาและเป็นอาจารย์สอนกฎหมายด้วย ท่านบอกว่าคนขับรถของท่านขับรถพาท่านไปทำงาน ไปบรรยายในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อยู่เสมอ ท่านเห็นว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ขยันหมั่นเพียร จึงแนะนำให้เรียนกฎหมาย คนขับรถของท่านก็หาเวลาไปเรียน เวลาว่างรอรับท่าน ก็อ่านหนังสือ ชอบช่วยเหลือคนรอบข้างและเป็นคนชอบนั่งสมาธิวิปัสสนา ทำบุญอยู่เสมอ เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบปี เขาก็สอบเป็นผู้พิพากษาได้ อาจารย์ของผู้เขียนกล่าวมาคำหนึ่งว่า “อยากเปลี่ยนภพเป็นภูมิก็ต้องอาศัยการศึกษาควบคู่ไปกับการเป็นคนดีมีศีลธรรม” เห็นไหมคนขับรถของอาจารย์สามารถทำได้
ทั้งสองตัวอย่างหากพิจารณาเชื่อมโยงกัน สิ่งที่ผู้เขียน "ฉุกคิด" คือท่านทั้งสองจะพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ และเน้นการศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหากเปลี่ยนแปลงจาก "ข้างใน" เราได้ เราจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิเราทั้งในปัจจุบันและไร้กาลเวลา ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำกล่าวที่ตนเคยพูดไว้ในการอบรมครั้งหนึ่งว่า "รู้เพื่อละ" มิใช่ "รู้เพื่อตอบสนองกิเลส"
"จิต" เราเปลี่ยนได้ทุกขณะ เป็นสภาวะที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา จึงไม่ควรละเว้นการให้อาหารจิต โน้มเอียงไปสู่การสร้างกุศลจากภายในสู่ภายนอก
การสอน การสร้างคน ๆ หนึ่งให้เป็นคนดีที่ผู้เขียนขอเสนอในเบื้องต้น ณ ที่นี้ คือการสอนให้เด็กมี “จิตเป็นกุศล" อยู่เนือง ๆ ได้แก่ การสร้างจิตสาธารณะให้แก่เด็ก ซึ่งเป็นการสร้างเสริมผลบุญให้กับตัวเด็กเองด้วย การสอนเช่นนี้เป็นการสอนให้รู้จักคำว่า"ให้" และเห็นแก่ตัวเองน้อยลง นึกถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ส่วนวิธีการสอนเชิงรูปธรรมจะเป็นอย่างไรนั้น ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ทุกท่านมีวิธีการสอนที่ดีอย่างแน่นอน
มาถึงตอนนี้ ผู้เขียนเพิ่งสังเกตเห็นว่า
การเป็นคนที่ดีให้ได้ นั่นคือรางวัลของครู
http://youtu.be/02_EA9OT_VM
[1]แหล่งข้อมูล http://www.kroobannok.com/blog/21107
[2] จิตรกร ตั้งเกษมสุข และธรรมเกียรติ กันอริ, หยาดเพชร หยาดธรรม, ภูมิปัญญาเพื่อการศึกษาไทย รวบรวมและเรียบเรียงจากงานนิพนธ์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), น. ๒๘ – ๒๙.
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับ ผมชอบคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ เหมือนกันครับ ใช้ในการภาวนาเป็นประโยชน์มากครับ เรื่องการศึกษา เป็นการพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนดีพร้อมสมบูรณ์ที่จะอยู่บนโลกอย่างมีความสุขครับ ผมสอนลูกศิษย์ให้กตัญญูในลำดับแรกก่อนครับ กตัญญูคุณพ่อ คุณแม่ ผู้มีพระคุณ พร้อมสอนจริยธรรม คุณธรรม และบูรณการไปพร้อมความรู้ทางวิชาการครับ ท่านอาจารย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ท่านเปรียบการศึกษาเหมือนดั่งการดูแลกล้วยไม้ครับ ให้ออกดอกได้อย่างไรให้สวยงามดีครับ ผมทำหน้าที่ในสถาบันที่ท่านเมตตาก่อตั้งมา และผมมั่นใจว่าการศึกษานี้จะพัฒนาคนไทยให้เป็นดีที่สมบูรณ์พร้อมได้ ถ้าทำตามหลักที่ท่านคณาจารย์ปลูกฝังมาครับ
"... การเป็นคนที่ดีให้ได้ นั่นคือ รางวัลของครู ..."
เป็นประโยคที่ถูกต้องแล้วครับ อาจารย์นพลักษณ์ ๙ Sila Phu-Chaya ;)...
ไม่ใ่ช่เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือ ตำแหน่งใหญ่โต
ใครทำเช่นนั้น เขาน่าจะไม่ใช่ครูตัวจริง
ขอบคุณมากครับ ;)...
เป็นบทความที่น่าประทับใจมากค่ะ
การศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาภายในออกนอก... ปริมก็เชื่อเช่นนั้น
ชื่นชมบุคคลตัวอย่างที่น่านับถือในบทความมากค่ะ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า เมื่อเราตายไปแล้วเราก็ไม่อาจเอาอะไรติดตัวไปได้ นอกจากจิตที่ถูกพัฒนาแล้วเท่านั้น
นึกถึงคำพูดของคนใกล้ที่คุยกันบ่อยๆ ว่า เรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะแยะมากมายหรือในชีวิตนี้ คำตอบก็คือเปล่านะ สิ่งที่เราต้องทำจากนี้ไปคือการพัฒนาจิตใจเท่านั้น ที่เหลือไม่ทำก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตเรา
เขาชอบบอกว่าให้รีบพัฒนาจิตใจให้ดีขึ้นเพราะเขากลัวจะต้องเกิดมาเจอเราอีกในชาติหน้า!
ขอบคุณมากค่ะ ;)
ชอบครับ ผมเข้าใจละเอียดเลย อ่านไปก็รู้สึกว่าเป็นธรรมดาของสังคมนะครับ จุดที่ผมเห็นว่าจะนำไปใช้ได้ก็คือน้ำหนักในการนำเอาสิ่งดีๆ ที่กล่าวในบันทึกนี้ ใส่ให้กับเด็กๆ น่ะครับ ผมเห็นว่าเราต้องใส่ใจกับเด็กคนนั้นมากๆ เลยจึงจะสามารถทำสำเร็จ ตรงนี้ก็ต้องให้ภาระไปกับผู้ปกครองนะครับ ในส่วนของระบบการศึกษาโดยรวมหากออกแบบให้เอื้อก็ทำให้การซึมซับเรื่องราวของความดีของนักเรียนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และคุณลักษณะอย่างนี้ มองไม่เห็น ที่สำคัญคือไม่มีคะแนนด้วย ผู้ทำจะต้องมีจิตที่ตั้งมั่นและฝ่ากระแสสังคมได้แบบอาจารย์หมอที่ยกตัวอย่างในบันทึกนี้ ซึ่งยากมากหากเราเคยลองทำตัวแปลกจากกลุ่ม เราก็จะเข้าใจ ประโยชน์จากบันทึกนี้ คือเราพยายามปรับหลักยึดภายในให้ดีเท่าที่ลูกทำได้ และพัฒนาต่อจากจุดนั้นร่วมกับการกำลังใจกัน แบบนี้น่าจะไปได้สำเร็จ หรือสังคมมีความดีเพิ่มขึ้นนะครับ
เห็นด้วย คือ พัฒนาจิตตัวเองนี่ล่ะค่ะ ให้วาง ให้ปล่อยมากขึ้น
อีกประเด็นที่ได้เกี่ยวข้องทำงาน คือ สร้างเด็ก เมื่อมีโอาสที่พบผู้ปกครอง ก็พยายามเสมอที่จะทำให้ผู้เลี้ยงดูเห็นว่า การสร้างเด็กคนหนึ่งมีความสำคัญมาก
ขอบคุณบทความดี ๆ รับอรุณนะคะ
คุณพระคุ้มครองเช่นกันนะคะอาจารย์ศิลา
จิตสาธารณะ ..เป็นทางออกของสังคม
จิตสาธารณะ เป็นจุดเริ่มต้นจากครอบครัว
จิตสาธารณะ เป็นคุณธรรม จริยธรรมในอีกมิติหนึ่ง
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
เป็นบทความเกี่ยวกับ "การศึกษา" ที่โดนใจมาก
“อยากเปลี่ยนภพเป็นภูมิก็ต้องอาศัยการศึกษาควบคู่ไปกับการเป็นคนดีมีศีลธรรม”
อ่านแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่...
ขอบคุณค่ะ
น่าคิดครับ...การศึกษาปัจจุบันที่โหยหาความทันสมัยที่ห่างไกลจากตนเอง...จนลืมสิ่งหนึ่งที่สำคัญในใจตนเองครับ....ขอบคุณครับ
"เมื่อเราตายไปแล้ว เราเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ มีเพียงจิตที่ถูกพัฒนาแล้วเท่านั้น"...
สวัสดีค่ะ
แวะมาเรียนรู้กับบันทึกนี้
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
ได้อ่านบันทึกนี้แล้ว เห็นด้วยกับหลายๆ คนค่ะ ว่า การปลูกฝังเรื่องจิตสาธารณะ ความเป็คนดีมีศีลธรรม เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ขอบคุณค่ะคุณศิลา
คิดดี..พูดดี...ทำดี..คบคนดี..นำไปสู่สถานที่ดีๆ..ขออนุโมทนาครูบาอาจารย์ทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้
ขอชื่นชมบทความของอาจารย์ ที่ปูพื้นอย่างประณีต ที่มาที่ไป ให้พิจารณาตามค่ะ "จะเห็นว่าการพัฒนาปัญญาในการศึกษาของไทยเราเพียงแค่ขั้นที่ ๑ เท่านั้น" การตั้งเป้าหมายดังอาจารย์หมอตัวอย่าง "มีชีวิตสงบสุข ไม่พะรุงพะรัง" รวมทั้ง "จิตสาธารณะ" น่าสนใจมากค่ะ ขอบคุณและขออนุญาตแชร์บทความนี้นะค่ะ
แวะส่งต่อกำลังใจและชื่นชมบันทึกนี้มากคะ
อ่านแล้วรู้สึกอิ่ม..ใจ
การพัฒนาด้านการศึกษา เจริญด้วยปัญญา
แต่คุณค่าที่สูงยิ่งกว่าคือจิตใจที่พัฒนาตามมาด้วย
อ่านบันทึกนี้แล้วอยากสะท้อนถึงสังคม ครอบครัว ไม่ใช่แค่เด็กหรอกครับแม้ตัวผมเองยังเขลาได้จนถึงอายุปูนนี้กว่าจะพอรู้เรื่องภพเรื่องภูมิ เรื่องภายนอกภายใน สงสัยตัวเองเหลือเกินว่าทำไมเขลาได้นานขนาดนั้น ไม่อยากโทษการศึกษาหรอกครับ..คงเป็นบารมีที่ติดตัวมาน้อย จึงได้แต่ฝันที่หวังกับอนาคต อย่างที่เขียนในกลอนบทนี้ |
ฝันดี |
แจ่มแจ้ง เฉียบคม ตรงประเด็นที่สุดแห่งเนื้อแท้เพื่อการพัฒนาการศึกษาค่ะ
การศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ยังจะใช้ได้เสมอไม่ว่าศตวรรษจะเปลี่ยนไปอีกกี่รอบ หากสังคมไม่ล่มหรือ ล้างผลาญกันเองจนกู่ไม่กลับ ด้วยการพัฒนาบนฐานทุนนิยม แข่งขันกันเอาเป็นเอาตายเช่นทุกวันนี้นะคะ พี่เชื่อเสมอว่าการเปลี่ยนจากภายใน มีสัมมาทิฏฐิแล้วเราจะไปถูกทาง ไม่ต้องวิ่งตามกระแสว่าตอนนี้สังคมกำลังเล่นเรื่องอะไร
"การพัฒนาด้านการศึกษา เจริญด้วยปัญญา
แต่คุณค่าที่สูงยิ่งกว่าคือจิตใจที่พัฒนาตามมาด้วย"