เวลาอีกไมไกลที่จะฝันไปให้ถึงและฝันนั้นทำให้เป็นจริงได้ โจทย์ครั้งนี้ยากจริงๆ ค่ะแต่ฉันขอร่วมฝันด้วยคนนะคะ
ย้อนหลังไปในราวปี 1960 หรือ พ.ศ. 2503-2504 ประมาณยุคผู้ใหญ่ลี ที่ตีกะลอ(กลอง) เชิญชาวบ้านมาประชุม ถ้าใครเกิดทันสมัยที่เพลงนี้ร้องคงจะวิเคราะห์ออกมาได้ว่า ยุคนั้น เศรษฐกิจกำลังจะเริ่มต้นที่ดี แต่การศึกษายังไม่แพร่หลาย ส่วนการถ่ายทอดการสื่อสารเรื่องราวใช้การเชิญมาล้อมวงคุยกัน วันนี้ผ่านไปห้าสิบปีแล้ว ผู้ใหญ่ลีและชาวบ้านวันนั้นคงจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกกำหนดเรียกว่าเป็น Baby Boomers หากมีตัวจริงและมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันก็จะถูกจัดเป็นกลุ่มผู้อาวุโส ที่ ณ วันนี้จะมากพร้อมประสบการณ์ (แต่อาจจะขาดทักษะการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารไปบ้าง)
ในสมัยเดียวกันกับผู้ใหญ่ลีนั้นเอง เด็กเกิดใหม่ถูกจัดเข้ากลุ่ม Generation X (ค.ศ.1960-1980) ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่มีการใช้งานยังจำกัดอยู่ ฉันเองก็อยู่ในระหว่ายุคคนสองรุ่นนี้ (Gen X & Baby Boomers)จึงได้เห็นความเจริญเติบโตทางวัตถุเทคโนโลยี ควบคู่กับการเป็นนักเรียน นักศึกษา ในกรอบแนวคิดและทิศทางการสอนของครูและโยบายการจัดการศึกษาที่ การเรียนการสอนนั้นมีทั้งส่วนดีและเสีย สอบตกต้องซ้ำชั้น ความรู้ที่เรียนและสอบไปแล้วทิ้งไม่ได้ อาจมีปรากฏในการสอบครั้งต่อไป ในวิชาเดียวกัน และทำอะไรไม่ถูกจะโดนครูตี หยิก ดึงหู ยืนขาเดียวหน้าห้องเรียน คาบไม้บรรทัด เป็นต้น ประสบการณ์ซ้ำชั้น หรือทำให้เป็นที่อับอาย หากใครเจอ "ทำโทษ" ในยุคสมัยนี้ถือว่า "แรง" เพราะยุคนี้ไม่ใช้มาตรการนั้นแล้ว มิเช่นนั้นก็จะมีเรื่องร้องเรียน ฟ้องร้องถึงขั้นขึ้นโรงศาลได้ เพราะสิทธิเสรีภาพในการเรียนรู้ไม่ถูกจำกัดให้รู้จากการสอนของครูอย่างเดียว
ในอีกยี่สิบปีต่อมา (ค.ศ. 1980-1995) ยุคเด็กเกิดใหม่เป็นกลุ่ม Generation Y หรือ the Millennial Generation (or Millennials), Generation Next, Net Generation, Echo Boomers คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีแพร่หลายขึ้น เด็กซึมซับรับการเรียนรู้เร็วขึ้น การเรียนการสอนเปลี่ยนไปเป็นแบบบูรณาการ หลากหลายวิชามารวมกัน ใช้แบบแผนการเรียนโดนเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หรือ Child Center ในยุคนี้ฉันเป็นผู้ปกครอง ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาภาคบังคับ 16 ปี เด็กเรียนหนังสือ เรียนแล้วสอบแล้วสอบและทิ้งไป(ก่อน) สอบตกก็ซ่อมได้ ไม่ต้องกลับไปซ้ำชั้นเดิมเสียเวลาเรียนไปอีกเป็นปี แต่สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ ฉันเองได้เรียนรู้การเรียนหนังสือรูปแบบใหม่ผ่านลูกหลาน ได้หยิบจับเครื่องมือช่วยให้การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งเครื่องมือที่ใช้สมองเนื้อคิดและมือขีดเขียนวาดเป็นแผ่นแผนที่ (Mind Map) และการพึ่งพาโปรแกรมคิดให้เบ็ดเสร็จแค่ป้อนข้อมูลดิบเข้าไปในเครื่องมือสื่อสารอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ
แล้วในยุคต่อมาที่เรียกเด็กยุคเกิดปี ค.ศ. 1995 เป็นต้นมาว่าเป็นเด็ก Generation Z หรือ iGeneration หรือ internet generation เป็นเด็กยุคดิจิทัล เกิดมาพร้อมอุปกรณ์แสนจะไฮเทค หนังสือเป็นเล่มแทบไม่ต้องหยิบจับอ่านแต่รู้พอกันกับพวกผู้ใหญ่ บางทีรู้เร็วกว่าอีกด้วยซ้ำไป แล้วผู้มีหน้าที่อบรมสั่งสอนจะปรับเปลี่ยนวิธีการให้การศึกษาแก่พวกเขาอย่างไรกันนะคะ จากที่สังเกตเห็น หลายๆ สถาบันดึงเด็กเข้าชั้นเรียนด้วยการนำเครื่องมือสื่อสารทันสมัยเป็นเครื่องล่อ เหมือนจะให้ปลาติดเบ็ด เด็กๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งล้อมวงเรียนรู้แบบเผชิญหน้ากัน
ฉันทำงานกับผู้คนที่เกิดมาในยุคเจนเนอเรชัน Y เป็นส่วนมาก ฉันแค่มีความรู้สึกว่าพวกเขาเก่งแต่ไม่ค่อยจะอดทน รู้กว้างแต่ไม่รู้ลึก เชื้อเชิญไปทำกิจกรรมนอกเวลา งานจิตอาสาที่ต้องอาศัยการลงแรงลงมือมักจะอิดออด ซึ่งที่จริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้มีพลังมากมายที่จะช่วยคิดพัฒนาให้ความเป็นอยู่ในสังคมดีขึ้น แต่ฉันก็พยายามเข้าใจพวกเขา วิ่งตามให้ทัน ขอแบ่งปันความรู้ที่พวกเขาสั่งสม หวังที่จะให้คนพันธุ์ X กลายพันธุ์เป็นคนพันธุ์ C (Connect) ให้ได้
(แนะนำอ่านเพิ่มเติมผ่านการใช้ search engine ด้วยคำค้นนี้... “เข้าใจ Gen Y”)
สุดท้ายก็มาลงที่ 5W+1H ...ฉันเชื่อว่ามีคำสำคัญๆ (Keyword) ไม่กี่คำค่ะ ที่จะตอบโจทย์นี้ได้ คือ ตัวผู้เรียน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ตามนี้ค่ะ
(แนะนำอ่านเพิ่มเติม7 อาชีพเสรี AEC 2015 โดย ปฏิคม พลับพลึง)
ต่อยอดความรู้ตามอัธยาศัย...>>
สุดยอดเลยครับ ..บันทึกผมนั้นแสนจะดิบจริงๆ บันทึกนี้มีภาพที่แสดงมายด์แม็บ ดีมากๆ ครับ แสดงความคิดเห็นก่อนแล้วจึงไปอ่านน่ะครับ ขอบคุณความฝันครับ
สวัสดีค่ะคุณนาย เพชร พรหมสูตร์
การเรียนรู้ของเราทุกคนจะไม่มีเวลาหยุดนิ่งหรือจบสิ้นค่ะ เป็นหลักการที่ยึดใช้ในการทำงาน การเลี้ยงลูกสาว และในอนาคต คือ ยุคปี 2020 หากจะได้เป็นคุณยายได้ทำหน้าที่เลี้ยงดูหลาน(ถ้าเค้าพร้อมจะมีและส่งมาให้เราเลี้ยงเหมือนเช่นที่ผู้ใหญ่กว่าได้ปฏิบัติกันมา)
ก็ต้องดูที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ จริงไหมคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ
สำคัญมากๆ ครูต้องเป็นตัวอย่างและผู้สอนด้านศีลธรรม (อบรมบ่มนิสัย)
นโยบายใหม่ๆ ด้านการศึกษาไม่ค่อยเน้นตรงนี้เท่าไหร่
การสอน...ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้...จะมีค่าและมีประโยชน์ เพราะจะทำให้เด็กไทยเรามีความสุขและสนุกครับ ขอบคุณบันทึกมากครับ
สวัสดีค่ะคุณ Sila Phu-Chaya
เป็น
การคิดแบบเชื่อมโยงเป็นการคิดที่ทรงพลังมากค่ะ
จริงด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะคุณ บอกอ. ธ.วั ช ชั ย
สวัสดีค่ะคุณ ทิมดาบ
ขอบคุณค่ะ หากผู้สอนมีวิธีการสอนที่สนุกๆ มีการนำเทคนิค Plan & Learn มาใช้ เด็กจะมีความสุข และจดจำได้กับสิ่งที่ได้รับนะคะ
ดิฉันจำได้ว่าเคยเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในสมัยชั้นประถม เป็นเรื่องน่าเบื่อมากที่ต้องท่องจำ พยายามจำเท่าไรคะแนนก็ไม่ดีขึ้นเลย จนกระทั่งขึ้นไปเรียนในชั้นมัธยม ต่างโรงเรียน(โรงเรียนหนูทดลอง) ได้อาจารย์ที่สอนสนุก เล่าเป็นเรื่องเป็นฉากๆ เป็นตอนๆ มีภาพอธิบายประกอบบนกระดานดำ (สมัยนี้คงพัฒนาเป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์) ได้ฟังอย่างเพลิน/เข้าใจ ให้กลับไปทบทวนใหม่ก็ยังพอมองเห็นภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์(ผ่านใบหน้าอาจารย์ที่เล่า) และจากนั้นมาวิชานี้เป็นวิชาที่ทำให้มีความสุขมากๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ดาวทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้สำหรับเด็กยุคปัจจุบันเพื่อให้อยู่รอดในปี 2020 แล้วคงจะต้องทำทางเดินที่โล่งคล่องตัวให้ครูที่ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันเหตุการณ์นะคะ ขออย่าได้ปรับเปลี่ยน รมต.ทุกๆ หกเดือน ฮาๆๆ
คุณแม่เก่งๆ แบบนี้ คุณลูกก็คงจะเก่งกว่า เพราะเหมือนคุณแม่บวกคุณพ่อ มั้งคะ...^^
สวัสดีค่ะน้องครู krutoom
แวะเยี่ยมชมและขอบคุณสำหรับ
บันทึกดีดีที่ได้อ่านคะพี่ KaTtiKa
เด็กGeneration Z หรือ iGeneration หรือ internet generation
เป็นเด็กยุคดิจิทัลก็จริงแต่ในบางครั้งเทคโนโลยีก็สร้าง ไม่ได้ในทุกๆเรื่อง
การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับการศึกษาถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อพัฒนาการทางด้านสติ
ปัญญาทางด้านสมองและการก้าวทันผู้อื่น แต่การสร้างปฏิสัมพันธ์ความสมัครสมาน
สามัคคีหรือปลูกจิตสำนึกที่ดีบางทีเทคโนโลยีก็ช่วยได้ไม่มากคะ
ในความคิดของเบียร์แล้วอย่างไร การศึกษาของไทยก็ยังคงต้อง
ใช้การลงมือทำ เรียนรู้ด้วยตนเอง ทดลองและทำงานเป็นทีม แลกเปลี่ยนความคิด
ควบคู่กันไปกับเทคโนโลยี ดีที่สุดคะ
สวัสดีค่ะคุณเบียร์ EGA