ฟ้าเช้านี้ดูแปลกซีกตะวันตกเมฆทะมึนครึ้มตั้งเค้ามา ซีกตะวันออกดวงอาทิตย์สาดแสงกระจ่างจ้าจนผิวกายร้อนระยิบ ผมเดินแทรกแข่งนักเรียนหลายกลุ่ม ซึ่งต่างมุ่งหน้าไปเข้าแถวที่บริเวณหน้าเสาธง ทุกเช้าก่อนสองโมงทุกคนมีนัดที่นี่ กิจกรรมแรกของวันดั่งระฆังสัญญาณการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
หลังร้องเพลงชาติและสวดมนต์ไหว้พระ เราร้องเพลงมาร์ชโรงเรียนร่วมกัน จากนั้นครูประจำชั้นจะไปยืนหน้าแถวนักเรียนในที่ปรึกษาของตนเอง เพื่อให้บรรดาลูกศิษย์ไหว้ทักทาย แล้วก็ต่อด้วยการไหว้ทักทายระหว่างพี่ๆน้องๆ ม.1 ไหว้ ม.2 , ม.2 ไหว้ ม.3 ไล่ไปอย่างนี้จนถึง ม.6 พี่ใหญ่สุด เคยสังเกตและเย้าแหย่เด็กๆบางคน “ทักทายกันต้องสบตากัน ไหว้ต้องไหว้ด้วยใจ”
ต่อด้วยการอ่านข่าวความรู้ของตัวแทนนักเรียน ซึ่งวันนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับดอยอินทนนท์ สถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของบ้านเรา ผมซึ่งอยู่ในแถวร่วมกับนักเรียน ทดสอบลูกศิษย์บางคนที่ดูไม่ค่อยสนใจฟัง “น้องเขาอ่านความรู้อะไร” แกรู้และตอบได้แค่ “ดอยอินทนนท์ก็แล้วกันครับครู”(ฮา)
จากนั้นเป็นข่าวประกาศหรือข้อชี้แนะจากคุณครู หัวหน้ากลุ่มสาระวิทยาศาสตร์แจ้งผลแข่งขันกิจกรรมสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ดำเนินการมาล่วงหน้า มีทั้งตอบปัญหา พูด วาดภาพ และยังอยู่ระหว่างแข่งก็มีป้ายนิเทศ จรวดขวดน้ำ เครื่องบินกระดาษ เสร็จแล้วครูเวรจึงขึ้นมาพูดคุยเป็นลำดับท้ายสุด เรื่องที่เน้นคือ วันนี้ครูเราหลายท่านไปราชการ บางท่านไปไม่ไกลจะกลับมาสอนตามปกติ สำหรับห้องที่คุณครูไม่มาต้องใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ กิจกรรมที่ทำควรเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน
ช่วงนั้นผมแยกตัวเองมานั่งเล่นในซุ้มศาลาที่พักหน้าสวนหย่อม ซึ่งมีระยะห่างจากบริเวณเด็กๆเข้าแถวมากพอที่จะไม่สามารถเห็นสีหน้าแววตาพวกแกได้ ว่าห้วงยามนี้รู้สึกอย่างไรที่ครูไปราชการหรือไม่อยู่หลายคน รวมถึงต้องทำกิจกรรมต่างๆเอง เพราะเคยตั้งข้อสังเกตแบบสนุกๆว่า ถ้านักเรียนมีความสุขกับการเรียนจริง ครูไม่มาหรือไม่สามารถเข้าสอนเมื่อใด นักเรียนต้องเสียดายหรือเศร้าใจ(ฮา)
ชั่วประเดี๋ยวเดียว กิจกรรมหน้าเสาธงก็สิ้นสุด นักเรียนแยกเข้าห้องเรียน ทุกคนเดินเป็นแถวอย่างพร้อมเพรียง สำหรับวันนี้สองคาบติดต่อหรือช่วงเก้าโมงครึ่งถึงสิบเอ็ดโมงครึ่งผมสอน ม.6/1 ซึ่งนัดหมายไว้ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ว่าจะทดสอบย่อยทุกคนด้วยการให้เขียนอธิบายคำตอบเรื่องการสังเคราะห์โปรตีน
ขณะชื่นชมความเป็นระเบียบในการเดินแถวของนักเรียนในซุ้มศาลาที่พักอยู่นั้น เสียงนักเรียนหญิงในแถว ม.6/1 ซึ่งเดินผ่านลอยข้ามถนนมาชัดถ้อยชัดคำด้วยหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“อาจารย์ไม่ไปราชการกับเขาบ้างเหรอ” พูดยังไม่ทันจบ เสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อน รวมทั้งตัวครูเอง ก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน(ฮา)
สงสัยอยู่เมื่อครู่ คำตอบมาเร็วจริงๆ (ฮา)
สมัยนักเรียนยุคของพี่ใหญ่..มีครูอื่นมาสอนทดแทนเสมอ..แต่เพราะสำเนียงและไสตล์การสอนที่เราไม่คุ้นเคย..กลับแอบเศร้าๆที่ครูลาหยุดไป..
แปลกจริง ที่การไปราชการ ทำให้การเรียนการสอน หยุดชะงัก... ..ซึ่งนั้นย่อมหมายความว่า...คนทำงาน กับ งานที่ทำ สมดุลกันเปีะ... ..นี่คงเป็นปัญหาใหม่ของระบบราชการ..
...สำนักงานราชการหลายแห่ง ห้ามคนไปเรียนต่อ เพราะไม่มีคนทำงาน... ...น้องที่สุพรรณฯ ลาไปเรียนเอก ไม่ได้ เพราะไม่มีคนสอนแทน...
...หรือเพราะงานที่สมดุลกันเป๊ะ นี้เอง ทีทำให้คนราชการ กลายเป็นเครืองจักรกล ไม่มีเวลาพัก ไม่มีเวลาหยุด... ...พวกเรา ถามดัง ๆ ไปถึง สำนักงานฯ ผุ้รับหน้าที่ประเมินและประกันคุณภาพสถานศึกษา ดีไหม...??
มาแวะฮากับเด็กๆๆค่ะ
อาจารย์สบายดีนะคะ :)
ก็ไม่อยากไปราชการด้วยคนนะคะอาจารย์ธนิตย์ เด็กบอกว่า"ครูไม่ไปที่ไหน แต่ครูก็จะหลบหน้านักเรียนนั่งในห้องพัก..พิมพ์แผนฯ ออกแบบการเรียนรู้รุ่นล่าสุด...อิอิ อาจารย์คะ ทำการออกแบบการสอนมาเป็นล๊อตๆ เลยอ่ะนะ เพื่อตรงกับความต้องการของผู้ตรวจสอบ เหอๆๆ..ทำไม่ถึงไม่เน้นวิธีการเรียนรู้ในห้องเรียนแบบที่อาจารย์พยายามเน้นให้ ผอ. เห็นความสำคัญ นะคะ
55555... ระบบเอกชนก็ไม่ต่างครับอาจารย์ พอผู้จัดการไม่อยู่ หัวหน้าไม่อยู่ รู้สึกพนักงานจะมีความสุขกว่าวันไหนๆ
ตอนเป็นนักเรียนก็อยากโตเป็นผู้ใหญ่ไวๆ พอต้องมาทำงานก็อยากกลับไปเป็นเด็กนักเรียนอีก เอ๊ะ..ยังไงกัน อิอิ แต่จำได้ว่าตอนเรียน..คุณครูที่สอนทำไมไม่ยักกะไปราชการกันบ้างนะ อิอิ
นิสิตในมหาวิทยาลัยฯ ไม่ค่อยวิตกกับการที่อาจารย์ฯ ไปราชการครับ เพราะส่วนหนึ่งเขารู้ดีว่ายังไงๆ ก็นัดเรียนย้อนหลัง (ฮา) หรือไม่ก็รู้ว่าต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง (ฮา-เหมือนกัน)
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนที่เข้าสอนแทนเรา บางทีก็ทำให้เราลำบากใจเหลือเกิน บางทีผมจึงเลือกที่จะให้โจทย์ไปเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่า แล้วกลับมาสะท้อน หรือเรียนรู้ร่วมกันผ่านกลไก หรือกระบวนการอื่นๆ แทน
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณครูธนิตย์