ทำอย่างไรให้คัมภีร์อยู่ในใจของศาสนิกชน(ตอนจบ)


          เมื่อครั้งที่แล้ว ผมถามประการแรกว่า คัมภีร์ของท่านสำคัญมากๆจนถึงขนาดที่ใครจะดูถูกเหยียดหยามได้หรือไม่ ช่วงที่ผมทำรายการทางวิทยุ มีข่าวว่าร้านอาหารในต่างประเทศ นำสิ่งเคารพบูชาของพี่น้องชาวพุทธไปไว้ในห้องอาหารในทางที่ไม่เหมาะสม ผมถามผู้ฟังซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธว่าท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง คำตอบที่ได้รับโดยสรุปหลายๆท่านไม่รู้สึกโกรธแค้นใดๆเลย บางท่านก็โกรธ บางท่านก็บอกไม่ทราบเรื่องนี้
          ที่ผ่านมา ผมกล่าวถึงคัมภีร์อัล-กุรอานโดยสังเขป เพื่อเป็นความรู้ต่อเพื่อนศาสนิก ที่สำคัญเพื่อชี้ให้ท่านรู้ว่าเรารู้จักคัมภีร์ของเรามากน้อยแค่ไหน มุสลิมรู้จักคัมภีร์อัล-กุรอานมากน้อยแค่ไหน และพี่น้องชาวพุทธรู้จักคัมภีร์พระไตรปิฎกมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้เป็นประเด็นนะครับ หากคนในศาสนิกไม่รู้จักคัมภีร์ของตัวเอง ก็นับวันที่ศาสนาจะศูนย์หายไปในไม่ช้า...??
          อาจกล่าวได้ว่า คัมภีร์อัล-กุรอาน คือหัวใจของอิสลามิกชนก็ว่าได้ ตั้งแต่เกิดจนตาย มุสลิมก็จะใช้คัมภีร์อัล-กุรอานในวาระต่างๆกัน ..ชอบที่จะให้เด็กๆได้รับฟังคัมภีร์อัล-กุรอาน แม้ว่าเด็กจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม เจ็บไข้ไม่สบาย ใกล้ตายหรือแม้แต่ตาย คัมภีร์อัล-กุรอานก็จะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญเสมอๆ
        จึงไม่แปลกที่ใครก็ตามอยู่ใกล้ชุมชนมุสลิม จะได้ยินเสียงอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานอยู่เสมอ มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแลกเปลียนกับเพื่อนศาสนิก คือ เด็กมุสลิม จะเรียนอยู่สองอย่างคือเรียนโรงเรียนปกติคือโรงเรียนประถม-มัธยม และเรียนศาสนานั้นก็คือฟัรดูอีน ทางใต้เรียกตาดีกา เป็นการเรียนพื้นฐาน เด็กมุสลิมทุกคนจะเรียนภาษาอรับ อาลีฟ บา ตาอฺ...เหมือนกับพวกเราเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ นั้นเอง เป็นไฟล์บังคับเลยว่าเด็กๆทุกคนจะต้องเรียนการอ่านภาษาอรับ เพื่อที่จะอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานให้ได้ แม้จะแปลไม่ได้ก็ตาม(ซึ่งจะต้องเรียนในขั้นสูงต่อไป) แต่เด็กทุกคนจะต้องอ่านภาษา
อรับเบื้องต้นได้ จึงไม่แปลกที่ เด็กมุสลิมเกือบทุกคน จะอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานได้ บางคนอ่านได้ตั้งแต่เด็กๆ
        ท่านอาจจะมีคำถามว่า มันจำเป็นนักหรือ ที่มุสลิมทุกคนต้องอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานได้ ผมตอบได้เลยว่าจำเป็น ศาสนาอิสลามเน้นให้มุสลิมทุกคนต้องอ่าน เพราะนั้นคือพระดำรัสของพระเจ้า อิสลามถือว่า การได้อ่านพระดำรัสของพระเจ้า มันคือความสุดๆของมุสลิมแล้วละ ...
       อันลักษณะของคัมภีร์อัล-กรุอานนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างร้อยแก้วและร้อยกรอง คัมภีร์อัล-กรุอานจึงเป็นสิ่งท้าทายที่พิศดารสำหรับชาวอรับยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นร้อยแก้วมีความไพเราะได้โดยไม่ต้องใช้การสัมผัสและบทวรรคตาม กฏของกวีนิพนธ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอรับฉงนใจว่า คนที่ไม่เคยแต่งโคลงกลอนและอ่านเขียนไม่ได้อย่างท่านศาสดามุฮัมมัด จะต้องไม่ใช่ผู้แต่งอัล-กุรอานเป็นแน่
       พระผู้เป็นเจ้าได้พระราชทานคัมภีร์อัล-กุรอานครั้งแรกมาในค่ำคืนแห่งเกียรติยศ ของเดือนรอมะฎอนอันประเสร็ฐ โองการแรกของคัมภีร์อัล-กุรอานคือ อิกเราะ ที่แปลว่า “จงอ่าน” ในซูเราะฮ์(บท)อัลอะลัก "จงอ่านเถิด ด้วยพระนามแห่งผู้อภิบาลของเธอ ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเธอนั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ ..." (บทอัลอะลัก)การอ่านคือคำสั่งแรกที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบให้กับท่านศาสดามุฮัมมัดและมวลมนุษยชาติ ในบทเดียวกันก็กล่าวถึงปากกา นั้นแสดงว่า พระผู้เป็นเจ้าบอกให้มนุษย์อ่านและเขียน
ในคำสอนของศาสนาที่ท่านศาสดานำมาบอกคือ การอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานได้ผลบุญ คืออ่านแล้วได้บุญ แม้แต่อักษรเดียวก็ได้บุญ แต่ถ้าอ่านในวาระสำคัญๆเช่นเดือนรอมะฎอน จะได้ผลบุญเป็นทวีคูณ หากอ่านแล้วไปตรงกับคืนแห่งเกียรติยศ จะยิ่งได้มากมายจนไม่รู้ว่าจะคิดคำนวนกันอย่างไรได้
        นี่หรือเปล่าที่เป็นสิ่งที่คัมภีร์อัล-กุรอานจะอยู่ในหัวใจมุสลิมตลอดเวลา เพราะแค่อ่านมันก็ได้ผลบุญ ถ้าได้รู้ความหมายผลบุญก็จะเพิ่มพูน ถ้านำคำสอนจากคัมภีร์อัล-กุรอานมาปฏิบัติจะยิ่งเพิ่มพูนความดีอย่างมากมาย มันคล้ายๆกับเป็นกุศโลบาย แต่มันไม่ใช่ มันคือหลักการเลย
       ผมไม่ทราบนะครับว่าในศาสนาอื่นจะมีคำสอนเช่นนี้หรือไม่ และในสังคมอื่นๆจะบังคับให้คนในศาสนิกจะต้องศึกษาภาษาของคัมภีร์หรือไม่ แต่อิสลามมีและบังคับด้วยว่าต้องศึกษา
      ผมย้อนถามไปที่พี่น้องศาสนิกเพื่อนคนหนึ่งว่า ในศาสนาคุณได้สอนให้เด็กๆได้ศึกษาภาษาของพระคัมภีร์พระไตรปิฎกหรือไม่....ศาสนาสั่งให้อ่านหรือไม่...อ่านแล้วได้อะไรหรือไม่... เพื่อนผมขมวดคิ้วแบบคนคิดหนัก แล้วตอบว่า เป็นสิ่งที่น่าคิดมากที่สุด...
      ผมเลยบอกว่าผมเป็นห่วงคนในศาสนิกมากที่ละเลยพระคัมภีร์ บางคนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้สัมผัสพระคัมภีร์เลย ยิ่งวันสำคัญทางศาสนาด้วยแล้วน่าใจหาย ที่มีเฉพาะคนแก่ๆเท่านั้น คนหนุ่มสาวต้องบังคับหรือเกณฑ์กันไป ที่น่าตกใจมากๆก็คือวันสำคัญทางศาสนาคนในศาสนิกยังกล้าทำบาป แม้จะรณรงค์อย่างไรก็ตาม ขนาดเขตวัดยังต้องใช้กฎหมาย นั้นแสดงว่าคำสอนในศาสนาได้ถูกละเลย
      จากประการแรกในเอนทรีย์ที่แล้ว มาถึงประการต่อมาในเอนทรีย์นี้ ต้องถามเลยว่าศาสนิกในศาสนาต่างๆอ่านพระคัมภีร์ได้หรือไม่ ยังไม่ต้องถึงขนาดแปลหรอกครับ ตรงนี้แหละครับจะเป็นอีกหนึ่งตัวชีวัดว่าหลักการของศาสนาได้ถูกละเลยหรือไม่
     ผมเองก็หวั่นๆในเรื่องที่ว่าในอนาคตจะมีเด็กมุสลิมหากอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานไม่ได้หรือไม่ ถ้ามีแย่แน่นอน ด้วยเหตุว่า การละหมาดซึ่งเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของศาสนา จะต้องอ่านเป็นภาษาอรับ หรือภาษาของคัมภีร์อัล-กุรอานในส่วนข้อบังคับ จะเป็นภาษาอื่นไม่ได้
     มาถึงตรงนี้ท่านคงเห็นแล้วว่า เหตุใดที่มุสลิมต้องอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานได้ เพราะมันต้องใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจ ท่านลองพิจารณาตรงนี้ให้ดีนะครับ หากหลักการปฏิบัติศาสนกิจไม่ได้สัมพันธ์กับพระคัมภีร์ ความสำคัญของคัมภีร์ก็จะค่อยๆหายไป เพราะยุคปัจจุบันเราสามารถหาพระคัมภีร์ที่แปลแล้วมาศึกษาเองก็ได้ การเข้าหาตัวคัมภีร์จริงๆจึงห่างไป
      ท้ายจริงๆผมขอนำคอเม้นท์ของคุณท่านผู้มีนามว่าอินทรย์ภูเขาที่แสดงความเห็นไว้ที่  ที่ว่าคัมภีร์อัล-กุรอ่าน เป็นของพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล ก็เป็นของพระเจ้า**คนมุสลิม และ คริสต์ จึงไม่มีใครกล้าลบหลู่
แต่พระไตรปิฏก เป็นการบัญญัติโดย เจ้าชายสิทธัตถะ คนธรรมดา เมื่อเวลาผ่านไป จึงมีแต่คนไม่รักษาของเดิม มีทั้งตัดและเพิ่มตามความเห็นของคนนั้นๆ....
      ผมก็ขอตอบอย่างนี้นะครับ..ชาวพุทธต้องเชื่อสิครับว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านก็ทราบนะครับ ว่ากว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายนี้ท่านคือใคร ตรงนี้ชาวพุทธเองต้องย้ำสอนนะครับ ผมว่าเอากันตรงศาสดาต่อศาสดา ของพุทธกับอิสลามมีที่ต่างกันและเหมือนกันดั่งนี้
      มุสลิมเชื่อว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.)ถูกบังเกิดมาจากนูร(รัศมี)แห่งพระผู้เป็นเจ้า นูรของท่านถูกสร้างมาก่อนสิ่งใดๆ แต่ในมิติของมนุษย์ท่านเกิดมาในตระกูลกุเรช เผ่าบนูฮาชิม อันเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในคาบสมุทรอารเบีย แต่ก็ถือว่าเป็นตระกูลและเผ่าของบุคคลธรรมดาท่านหนึ่ง
      ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดในตระกูลกษัตริย์ ก่อนจะมาเกิดในตระกูลนี้ ชาติภพของท่านตามความเชื่อของชาวพุทธไม่ธรรมดานะครับ ผมกำลังจะบอกว่าคนในศาสนิกว่ามองศาสดาของตัวเองในฐานะไหน และให้ความสำคัญอย่างไร มันถึงจะมาให้ความสำคัญกับ พระคัมภีร์ ถึงได้มีพระสงฆ์และชาวพุทธจำนวนหนึ่งพยายามที่จะเข้าหาพระคัมภีร์ดั่งเดิม แต่ก็น่าเห็นใจว่ามันจะอยู่ตรงไหนบ้าง เข้าใจว่าในสมัย ร.4 ท่านก็พยายามตามหานะครับ
      ส่วนในศาสนาคริสต์นั้น ท่านศาสดาอีซา(เยซู)มุสลิมถือว่าเป็นผู้นำสาสน์ท่านหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน มุสลิมเชื่อในคัมภีร์อิลยีลหรือไบเบิลเก่า ส่วนในระยะต่อมาคัมภีร์ไบเบิลก็ถูกสังคายนาเช่นกัน มุสลิมเรียกว่าไบเบิลใหม่ คุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าหลายประการจึงต่างกับพระผู้เป็นเจ้าของมุสลิมครับ
       ที่ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนก็เพราะว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเดือนสำคัญที่คัมภีร์อัล-กุอานถูกประทานลงมา และผมต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมไปถึงย้ำให้ศาสนิกในศาสนาต่างหันมาให้ความสนใจกับพระคัมภีร์ของตัวเองให้มากกว่าเดิม มันจึงจะรักษาหลักการของศาสนาไว้ได้...

หมายเลขบันทึก: 497805เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2012 11:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม 2012 21:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • ตามมาอ่าน
  • ปู่เบ หายไปนานมากๆ

ความสนใจกับพระคัมภีร์.....ให้มากกว่าเดิม จะรักษาหลักการของศาสนาไว้ได้

ขอบคุณบทความดีดีนี้นะคะ

ดีคะ ถ้าเห็นเหรียญ ๒ ด้าน จะพบว่า เราได้รับการกระตุ้นให้คิด

แต่ถ้าเห็นเพียงด้านเดียวก็อาจ ดูเครียดไป

การกระทำที่แตกต่าง ไม่ได้มีความหมายที่แตกต่าง

ต้นทาง และความคาดหวัง ไม่ได้เป็นผลปลายทางและความสำเร็จเสมอไป

ทุกอย่างที่เห็น จึงไม่สามารถเป็นคำถาม และคำตอบได้ทุกเรื่อง

แต่หากต้องเรียนรู้ ด้วยความรักและศรัทธา


สวัสดีปีใหม่นะครับ คุณเบดูอิน

ด้วยความระลึกถึง ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท