ผมมาทำงานกรุงเทพฯ...เป็นพักๆ...
สิ่งที่สัมผัสได้และแปรเป็นความคิดอย่างแรกๆ คือ อดชื่นชมคนกรุงเทพฯ ไม่ได้...
กรุงเทพฯ ที่ไม่เคยหลับไหล...ความรวดเร็ว...ความเจริญมากมาย...และความอดทนของคนกรุงเทพฯ
เช่น...เด็กนักเรียนต้องตื่นเช้ามากๆ เพื่อมารอรถเมล์...ตัวเล็กๆ หอบกระเป๋าหรือเป๋...ใบโต
บางรายมีถุงข้าวเหนียว...หมูทอด...ไก่ย่าง...หรือถุงจากร้านสะดวกซื้อ...
เรียกว่า “เติบโตบนรถและถนน”...กันจริงๆ
ถ้าถามความรู้สึกของผม..อย่างตรงไปตรงมา....ว่า ผมจะใช้ชีวิตที่ยาวนานในกรุงเทพฯ ได้หรือไม่ ?
ผมคงตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า “ไม่ได้”
กรุงเทพฯ เมืองหลวง...เมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว...เมืองที่เหมาะสมในการเรียนรู้กับความใหม่ๆ..
ในความใหม่เหล่านั้น...ช่างมีรูปแบบเหมือนกันเหลือเกิน...ทั้งตึกรามบ้านช่อง...
สะพานลอย...ถนนที่ตัดกันไปมาหลายสาย...ราวกับงูที่เลื่อยไหล...พันไปพันมานัวเนีย....
และที่สำคัญ...ผมรู้สึกว่า...ในใจของผมไม่ได้เติบโตเพื่อจะมีชีวิตอยู่กับบริบทเช่นนี้หรือเปล่า?
เวลา...ที่มานั่งรอรถเมล์ทุกๆ เช้าของผม...
เวลาของผมเหมือนหยุดนิ่ง...และนั่งจอที.วี. จอใหญ่....
ภาพของผู้คนที่ต้องเร่งรีบขึ้นรถ...แต่ต้องรอเวลายาวนานบนรถ....การจับจ่ายซื้อของ...รถวินมอเตอร์ไซด์ที่ปาดไปมา...เหมือนน้ำไหลตามช่องว่าง....รถติดบนถนนเป็นแพยาวสุดลูกหูลูกตา...
ผมมากรุงเทพฯ...หลายวันแล้ว...
แต่ผมยังไม่ได้คุยกับต้นไม้เลย...ผมชอบคุยกับต้นไม้...ถึงแม้ต้นไม้ไม่เคยพูดกับผมก็ตาม...
ช่วงนี้..ผมเลยเปลี่ยนมาคุยกับตึกใหญ่ๆ แทน...แต่มันแห้งแล้งในใจอย่างบอกไม่ถูก
ที่ก็นับเป็นสีสันและสร้างเสน่ห์ตื่นตาตื่นใจให้ผมได้บ้าง...
ในทุกวันทุกคืนที่เข้าออกห้องพักของผม...ผมรู้สึกนึกถึงลูกอยู่ตลอดเวลา...
ผมมีรูปภาพของลูกติดตัวเสมอๆ...แต่อยากได้กลิ่นของลูก...จึงขอยืมผ้าห่มเหม็นของลูกมาด้วย
ซึ่งแรกเขาจะไม่ยอมเพราะเป็นของหวงแหน...ที่อยู่กับตัวของเขามาตลอด 9 ปีกว่าๆ
เรื่องราวผ้าห่มเหม็นของลูก...มีเรื่องเล่ามากมาย...เป็นความทุกข์ความสุขที่เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์
แต่ก็อบอุ่นเสมอเมื่อยามคิดถึง....
ต้องขอบคุณชีวิตของผมที่อยู่ในกรุงเทพฯ...ในช่วงเวลาไม่นาน...
ทำให้ผมได้ค้นพบว่า...การที่เราไม่ได้อยู่กับคนที่เรารัก...มันทรมานมากเพียงใด?
ทำให้เราเลือกว่า...ชีวิตของเราเองจะเดินทางต่อไปอย่างไง?...ถ้าเราปราศจากคนที่เรารัก...
ทำให้เราทุ่มเทว่า...ถ้าเหลือเวลาสั้นๆ ...ให้เราอยู่กับคนที่เรารัก...เพียงแค่หนึ่งนาที...เราจะทำอะไรเพื่อเขา
ทำให้ผมรับรู้อีกว่า....
ห้องทำงาน และห้องนอน...ที่หนาวเย็นด้วยแอร์...มันหนาวเย็นเข้าถึงขั้วหัวใจเพียงไร?
แต่มันหนาวเหน็บน้อยกว่าความเหงา...
หนึ่งวันของความเหงา...
มันช่างยาวนานแสนนานเหลือเกินและเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับ...
หนึ่งวันของความหนาว...
เรียนน้องทิมดาบ....กาลเวลาที่สูญไปในการเดินทาง ของคนกรุงเทพ เป็นการสูญเสียทางเศรษฐศาตร์ และเศรษฐสุข
แต่เราก็มีเรื่องที่ต้องเอาเวลาไปสูญเสีย ผมก็ต้องไปสูญเสียเวลาที่กทม. ในวันที่ 18 -20 นี้ 2 งาน คือสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ งานส่วนประชาชน และงาน SHA งานส่วนราชการ โรงพยาบาล...
"ความรัก บวกความผูกพันธ์ ใส่ความห่วงใย เจือจานความเอื้ออาทร ต่อคนที่เรารัก ย่อมประจักษ์พันผูกเป็นสายใยรักในครอบครัว" ซาบซึ่งมากกับความรักแห่งครอบครัว กับยุคสมัยที่ "ความล่มสลายทางสถาบันครอบครัวที่ยากแก่การเยียวยา"
ด้วยความขอบคุณที่แบ่งปันสายใยรักครอบครัว
ความรู้สึกนี้ผมเป็นมาก่อน คุณหมอทิมดาบ ;)...
บันทึกนี้พูดแทนผมไปแล้วครึ่งใจทันที
ผมเลือกบ้านนอกบ้านนามากกว่าเมืองฟ้าอมร
สู้ สู้ นะครับ ;)...
มาส่งกำลังใจไปให้ค่ะ :)
พี่เปิ้นส่งกำลังใจมาช่วยค่ะ ..... พรุ่งนี้ 12 ธค 2555 พี่เปิ้นก็จะเจอสภาพที่ "ทิมดาบเล่า" .... เช่นกัน... ต้องตื่นแต่เช้า น่าจะตี 5 จากบ้านตลิ่งซันฝังธน....เพื่อไปประชุมนานาชาติ....ที่ Miracle Grand Convention Hotel. ..ตรงดอนเมือง ..... ถ้าเป็นเมืองเพชรใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที .... แต่นี้กทม.ไม่ต่ำกว่า 3 โมง ... เป็นอะไรที่ ..... "สุดเบื่อ-เบื่อสุด" ... บวกเครียด เวลานั่งรถ ... กลัวไม่ทัน...."อาการทั้งทุกข์บวกทรมารกาย-ใจ" .... ประมาณนั้นไ้ด้
..... เล่าในสิ่งที่ไม่ดีเลย ขอจบก่อนนะ...ฝากความคิดถึงทิมดาบด้วยจ๊ะ
ความรักอบอุ่นของครอบครัว คือ แสงฉายฉานทลายความหม่นเศร้า เหงาและอ้างว้าง
เห็นด้วยกับคุณพ่อทิมดาบนะคะ จากมุมคนบ้านนอก ไม่ชอบอากาศร้อนผสมควันรถ รถติด การเดินทางชักช้าของเมืองใหญ่ทั้งหลายแหล่เลย
แค่ไปประชุมกรุงเทพฯ ครั้งละ ๒ - ๓ วัน ยังแย่เลย
ชอบภาพนี้จังค่ะ...ตัวไกล..ใจใกล้..ขอให้กำลังใจนะคะ..