สวัสดีปีใหม่ 2556 ณ แดนดินถิ่นอิสานเหนือ ตอนที่ 2 : ระทึกขวัญ ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท


พอสาวเท้าก้าวไปใกล้จุดกลับรถเมื่อคืน มองเห็นก้อนหินใหญ่ตั้งตระหง่านให้เห็นเด่นเป็นสง่ามีช่องโล่งตรงกลางรูปลักษณะคล้ายกับหน้าต่าง เรียกชื่อว่า หอนางอุษา อยู่ห่างไปแค่ 50 เมตร น้องชายผู้ขับรถเมื่อคืนบอกว่า เหตุผลที่เขาเปิดประตูรถมาดูทาง เพราะเห็นเหมือนเงาตระครุ่มด้านหน้า จึงแน่ใจว่าต้องไม่ใช่บ้านพักรับรองแน่ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

บรรยากาศรอบด้าน ณ เขตอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท มืดครื้มวังเวง....ยะเยียบเยือกจับขั้วหัวใจ .....แสงไฟหน้ารถสาดส่อง ไปยังถนนดินที่ตัดเป็นทางให้รถวิ่งพอสวนกันได้  ขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่-น้อยขึ้นเรียงรายอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบทั้งสองข้างทาง  แต่ความกว้างของถนนด้านหน้าค่อยๆ แคบลงๆ จนเหลือเนื้อที่แค่เลนเดียว  เมื่อ 5 นาทีก่อนขับเข้ามาเส้นทางนี้ได้สัก 50 เมตรแต่เมื่อเห็นทางแคบลงจึงถอยรถกลับออกไป  เมื่อไปพบยามที่ยืนอยู่แถบนั้น  บอกให้ขับตรงไปแล้วเลี้ยวขวาจะเจอบ้านพัก  จึงขับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง  เพราะเมื่อกวาดสายตาไปตามแสงไฟที่สาดส่อง ไม่พบเห็นเส้นทางใดๆ  นอกจากเส้นทางนี้เท่านั้น  อ่านข้อความที่เขียนลงบนป้ายปักไว้ว่า “  หอนางอุษา ”  แต่ดูเหมือนยิ่งขับลึกเข้าไป ทางยิ่งแคบเล็กลงๆ  หินก้อนเล็กรูปทรงแหลมวางเป็นขอบถนนทั้งสองด้านแทบชิดยางล้อรถ จนไม่สามารถเลี้ยวรถกลับได้  ความมืดแผ่คลุมอาณาบริเวณจนไม่สามารถมองเห็นสรรพสิ่งได้เกินระยะ  3 เมตร  ความสงัดเงียบแทบไม่ไหวติงของสรรพสิ่งรอบด้านส่งผลให้หลานสาววัย 10 ขวบส่งเสียงร้องครางด้วยความหวาดกลัว  สัญญาณคลื่นโทรศัพท์ไม่ปรากฏให้ติดต่อสื่อสารกับผู้ใดได้เลย.... 

  

                                      ส่วนหนึ่งของทาง....เดินท้าว  /  ที่พักพิงข้างทางเดินไปหอนางอุษา

“  กลับเถอะ....มันไม่น่าจะเป็นที่พัก ”  หลายเสียงออกความเห็น....แต่ต้องศึกษาดูว่าจะใช้วิธีการใด   ณ ช่วงนาทีนั้น  ...คนขับตัดสินใจเปิดประตูรถก้าวเดินไปดูถนนพร้อมกับหลานชาย   ในขณะเดียวกันนั่นเอง ....เสียงกริ่งเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังกังวาน....ขึ้นมาอย่างฉับพลัน  เป็นสายเข้าจากน้องชายอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาถึงก่อนหน้านี้  เนื่องจากได้รับแจ้งจากยามคนนั้นว่า  คณะฯของเราขับหลงเข้ามาด้านใน   เหลือบเห็นทางด้านหน้ามีเนื้อที่พอเบี่ยงจะหักเลี้ยวได้  จึงลงจากรถมาช่วยกันดูทางและเลี้ยวรถกลับไปได้อย่างทุลักทุกเล  ขับย้อนกลับทางเดิมราว 300 เมตรจึงมองเห็นน้องชายและยามยืนคอยอยู่ปากทางเข้าถนน  ทุกคนรู้สึกโล่งอกเมื่อผ่านพ้นสถานการณ์อันอึดอัดนั้นมาได้  
พอยามเห็นหน้าพวกเราก็โวยวายตามประสายามว่า   

 “ คุณขับเข้าไปข้างในได้ไง  ผมก็บอกว่าให้ขับตรงไปแล้วเลี้ยวขวาๆ”  

ทางคณะฯเราจึงตอบไปว่า..... 
 “  ไหนล่ะทาง  ด้านขวามันมีทางที่ไหนกัน  เห็นแต่ลานหญ้าใบไม้คลุมอยู่  เราก็ต้องขับไปตามทางน่ะซิ  แล้วก็เลี้ยวขวาตามที่คุณบอก ไง

  “ ก็ผมบอกแล้วว่า  อย่าขับตรงไปๆ ข้างใน  ให้เลี้ยวไปทางขวาเลย  มันไปได้  ”  ยามต่อว่าต่อขาน

  “  จะรู้ได้ไงว่ามันเป็นทางไปได้  มืดตื๊ดตื๋อ..สักขนาดนั้น  ก็คนไม่เคยมา  คงจินตนาการไม่ได้หรอกว่ามันไปได้ ”  

 
   

                                                บ้านพักทรงเก๋...ต่อกัน 3 หลัง  ที่พักพิงคุ้มกันหนาว 

บ้านพักสะดวกสบายดีจริงๆ  สายลมเย็นเฉียบยามราตรีกาลแห่งฤดูเหมันต์ส่งให้บรรยากาศแห่งความเงียบสงัดวังเวงมากยิ่งขึ้น   หูแว่วได้ยินเสียงใบไม้แห้งปลิวลิ่วลมเบาๆ เป็นช่วงๆ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากแดนลึกลับไกลโพ้น  ตนเองต้องคอยเกาะกลุ่มอยู่อย่างเหนียวแน่น  ขนาดรับโทรศัพท์ยังต้องเสียมารยาทนอนห่มผ้าคุยบนเตียง  และจำกัดสายตาไม่มองไปเบื้องหน้าเกินกว่ารัศมี 5 เมตร  ไหว้พระ-สวดมนต์ให้จิตผ่อนคลายก่อนหลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลีย

                              

                                       อากาศเย็นฉ่ำที่ 16 องศาเซลเซียส  ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

   

                                                      อรุณรุ่ง....สดชื่น-แจ่มใส...กันโดยถ้วนหน้า.!  

สูดรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าปอดอย่างสดชื่น  ข้าวต้มหมูและกาแฟ  เป็นอาหารเช้าที่ได้รับบริการอย่างดีเยี่ยม  หลังเสร็จสิ้นภาระกิจยามเช้าจึงนัดหมายกันไปเดินชมหอนางอุษา ที่ตั้ง อยู่ห่างไปราว  350 เมตร  พอสาวเท้าก้าวไปใกล้จุดกลับรถเมื่อคืน  มองเห็นก้อนหินใหญ่ตั้งตระหง่านให้เห็นเด่นเป็นสง่ามีช่องโล่งตรงกลางรูปลักษณะคล้ายกับหน้าต่าง  เรียกชื่อว่า หอนางอุษา  อยู่ห่างไปแค่ 50 เมตร  น้องชายผู้ขับรถเมื่อคืนบอกว่า  เหตุผลที่เขาเปิดประตูรถมาดูทาง เพราะเห็นเหมือนเงาตระครุ่มด้านหน้า  จึงแน่ใจว่าต้องไม่ใช่บ้านพักรับรองแน่  แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร  ที่น่าหวาดเสียวชวนให้ขนแขนลุกชันขึ้นมาอีกรอบในยามเช้านี้คือ  ห่างจากจุดกลับรถไปด้านหน้าไม่ถึง 20 เมตรมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ขวางอยู่  หากเมื่อคืนขับรถเดินหน้าไป  ล้อรถต้องหล่นลงไป  ลำบากแย่เลย  บังคับใจตนให้หยุดความคิดที่จะจินตนาการต่ออย่างฉับไว


 

                      หลุมขนาดใหญ่ขวางหน้าทางไปหอนางอุษา   /  เทียบขนาดหอนางอุษากับตัวผู้เขียน


เยื้องถัดไปทางด้านหลัง เห็นหินก้อนใหญ่ตั้งซ้อนวางเรียงกันคล้ายกับการจัดแต่งอยู่หลายลูก... เขียนกำกับไว้ว่า  ก้อนนั้นเป็นหีบศพของพ่อตา  ก้อนโน้นเป็นหีบศพนางอุษา  ก้อนด้านในเป็นหีบศีพของท้าวบารส  สถานที่แห่งนี้คือสุสานในตำนานเรื่องเล่านั่นเอง   แต่มาเที่ยวชมเป็นกลุ่ม-เป็นก้อน ท่ามกลางแสงแดดอ่อนยามเช้าเช่นนี้จึงรู้สึกอบอุ่นใจ 

                             
                   
                                                           ภาพที่ะลึก....  ของคณะฯ หน้าหอนางอุษา
                
  

                                    หินทรงแปลกตา... วางพาดกันตามธรรมชาติราวกับมนุษย์สร้างสรรค์

 

                          พระพุทธรูปโบราณ...ไม่ปรากฏหลักฐานในการนำประดิษฐาน...พระพุทธรูปหินแกะสลัก

 

                                              เขียนกำกับไว้ว่าเป็นหีบศพท้าวบารส   /  หีบศพพ่อตา
  

  


อ่านข้อมูลที่เขียนบันทึกลงป้ายอย่างสนใจและเก็บภาพก้อนหินรูปทรงแปลกตาไว้เป็นที่ระลึกย้ำเตือนความทรงจำว่าครั้งหนึ่ง....ได้เคยมาเยือนดินแดนแห่งนี้  อย่างระทึกขวัญ  
สนใจอ่านตำนานหอนางอุษาได้ที่นี่    
ศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทได้ที่นี่ 

                                                           *** ...  ขอขอบคุณผู้เข้ามาเยี่ยมชมทุกท่านนะคะ ...***

หมายเลขบันทึก: 515411เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2013 18:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มกราคม 2013 18:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท