เจ้าหน้าที่ สสส. เขียนไว้ในรายงานความก้าวหน้าของโครงการ เสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ชุมชน (เพื่อชุมชนเป็นสุข) ดังนี้ "..... สามารถผลิตนักจัดการความรู้ท้องถิ่น ชุดความรู้ หรือเอกสาร และสื่อต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก และพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้แนวราบ อย่างไรก็ดี นักจัดการความรู้ท้องถิ่นยังมีจุดอ่อนด้านการสังเคราะห์เชิงเอกสาร สำหรับชุดความรู้ภายในท้องถิ่นนั้น ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบจากภายนอกว่าถูกต้อง และไม่ถูกใช้ประโยชน์เท่าที่ควร ...."
ข้อสังเกตดังกล่าวสะกิดใจผม ทำให้ผมเขียนบันทึกนี้ ข้อความในสัญญประกาศ (เครื่องหมายคำพูด) นั้น บอกว่าคนทั่วไปเข้าใจว่าผลลัพธ์สุดท้ายของ KM คือเอกสารชุดความรู้ ที่มีการตรวจสอบความถูกต้อง แนวคิดนี้มีทั้งส่วนที่ถูกต้อง และส่วนที่ผิด แต่ในทางปฏิบัติ หรือส่วนคุณประโยชน์ ผมว่าผิดมากกว่าถูก
แนวคิดแบบนี้ผมเรียกว่าเป็นแนวคิดที่ยก "ความรู้แจ้งชัด" เป็นใหญ่ และเป็นแนวคิดแบบ supply-push KM คือถือเอานักวิชาการเป็นตัวตั้ง ไม่ใช้ตัวผู้ปฏิบัติเป็นตัวตั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมด แต่ไม่ใช่แนวทางที่ สคส. ยึดถือ
กลับมาที่การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้ ผมมองว่ามีวิธีตรวจสอบ ๒ แนว
(๑) ตรวจสอบแนววิชาการ ก็ทำตามแบบที่นักวิชาการคุ้นเคย คือทำงานวิจัยซ้อนลงไป เพื่อหาคำตอบว่า ความรู้นั้นเป็นจริงแน่แท้ในสถานการณ์ใด ผมเรียกว่าเป็นการตรวจสอบแบบทำให้ความรู้นั้นแคบลงจนมีความชัดเจน มีสิ่งที่ทางวิชาการเรียกว่า reproducibility คือถ้าไปลองทำซ้ำตามความรู้นั้นไม่ว่าทำที่ไหน เมื่อไร จะได้ผลตามที่รายงานไว้ จะเห็นว่า คำว่า "ความรู้" ในที่นี้ เป็นความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge)
(๒) ตรวจสอบแนว KM คือดูที่ผลลัพธ์ ถ้าวิธีการหรือความรู้นั้นใช้ได้ผลในบริบทใดบริบทหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นความรู้ที่ผ่านการพิสูจน์ความถูกต้อง (ที่จริงน่าจะใช้คำว่า "ใช้งานได้" มากกว่า) ในบริบทนั้น เป็นที่รู้กันว่า "ความรู้เพื่อการใช้งาน" นั้น ผู้ใช้ต้องเอาไปปรับให้เข้ากับบริบทของตนเอง อย่าใช้แบบคัดลอกตรงตัวหรือตายตัว ต้องเอาไปพลิกแพลงใช้ จะเห็นว่าในแนวนี้ คำว่า "ความรู้" หมายถึง ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge)
ที่ผมอึดอัดขัดข้องมากที่สุดคือคำว่า "ตรวจสอบจากภายนอก" เพราะนี่คือกระบวนทัศน์วิจัย ในกระบวนทัศน์วิจัยเรามีกลไกตรวจสอบความถูกต้องของผลงานโดยใช้ peer review และ peer ที่ดีที่สุดคือคนนอกหน่วยงาน เราจึงติดวัฒนธรรมเคร่งครัดความถูกต้องในระดับที่ต้องมีการประเมินโดย external peer review ซึ่งนี่คือกลไกที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับวงการวิจัยที่เน้นคุณภาพจริงๆ
แต่สำหรับชาวบ้าน เราเอาวัฒนธรรมวิจัยแบบนี้เข้าไป ก็จะกลายเป็นการครอบงำชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านซึ่งต่อหน้าพวกนักวิชาการเขาไม่มั่นใจตัวเองอยู่แล้ว ก็จะยิ่ง "หัวหด สมองหด" หนักเข้าไปอีก
ผมมองว่า ในระดับชาวบ้าน ต้องเอา "การพัฒนา" นำ เอาการวิจัยตาม พิสูจน์ความถูกต้องของความรู้ในเบื้องต้นจากหลักฐานที่ การ "ใช้งานได้" เกิดผลสำเร็จดีกว่าวิธีการเดิมๆ โดยต้องเข้าใจว่า "ความรู้" ในวัฒนธรรมของชาวบ้านนั้น เป็น complex knowledge หรือ tacit knowledge ถ้านักวิชาการจะต้องการทำให้เป็น explicit knowledge ก็ได้ แต่อย่าให้กระบวนการนั้นเข้าไปทำลายความรู้สึกมั่นใจตัวเองของชาวบ้าน
วิจารณ์ พานิช
๙ กย. ๔๙
เรื่องคนนอก Peer review หรือ ตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ ต้อง พิจารณาอย่าง ละเอียดอ่อน
คนนอกอาจจะ
กระบวนการ review อาจจะไม่ เหมาะสม เช่น
ข้อแนะนำ