ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอทำความเข้าใจกับคำว่า ครูเกษตร ก่อนนะครับ ครูเกษตรเป็นครูที่สอนหมวดวิชาเกษตรในสถานศึกษาเช่นโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยม อาจจะรวมไปถึงผู้ที่ทำหน้าครูเกษตรทั้งในและนอกระบบ นักส่งเสริมการเกษตรก็เช่นกัน บทบาทของการเป็นนักส่งเสริม ก็คือเป็นผู้กระตุ้นให้เกษตรกรเกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้การเกษตรแผนใหม่ ให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจในชุมชน โดยมีเป้าหมายก็คือให้เกษตรกรสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด
แต่การพัฒนาการเกษตรโดยเฉพาะด้านการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรของเกษตรกร ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม บางครั้งก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสแห่งยุค ทั้งนี้และทั้งนั้นการที่จะพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรได้ปัจจุบันต้องปรับที่แนวคิด หรือปรับเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกรและผู้ที่ทำหน้าครูเกษตรทั้งในและนอกระบบนั่นเอง
สำคัญที่สุดครูเกษตร เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นๆ จะต้องมีจิตวิญาณ ของการเป็นครูที่คอยช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพด้านการเกษตรอย่างยั่งยืน หรือหากจะพูดง่ายๆก็คือ จะต้องเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ เสนอแนะ รวมทั้งช่วยให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรแก่เกษตรกรได้นั่นเอง แต่ก็ต้องมีคติหรือข้อคิดอยู่เสมอว่า จะสอนวิธีหาปลาแก่เกษตรกร ดีกว่าการที่จะนำปลาไปให้เกษตรกร นั่นเอง
จากประสบการณ์ทำงานส่งเสริมการเกษตรของผู้เขียน มาตลอดระยะเวลา เข้ามา ๓๒ ปีแล้วครับบางครั้งก็ประสบผลสำเร็จ แต่บางครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จก็มี ซึ่งมันมีปัจจัยเสริมหนุนที่เกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน แต่ด้วยความเป็นครูเกษตรนอกระบบ เราทำงานกับเกษตรกร เราทำงานกับกลุ่มอาชีพต่างๆ(ด้านการเกษตร)ในชุมชน การที่จะทำให้การทำงานราบรื่นและมีความสุขกับการทำงานได้ โดยจะขอนำเสนอทักษะที่จำเป็นในการทำหน้าที่ครูเกษตรให้เพื่อนๆในG๒K และผู้ที่สนใจได้รับทราบ อาจจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยก็ได้นะครับ
ทักษะที่ครูเกษตรทั้งในและนอกระบบ ควรจะมีทักษะดังนี้
๑. การประสานงานที่ดี บางครั้งอาจจะรวมไปถึงมนุษย์สัมพันธ์ จะต้องมีความตั้งใจที่จะต้องทำการประสานงานกับบุคคลในองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมุ่งเน้นให้เยาวชนเกษตร ทั้งในและนอกโรงเรียน ได้ทำกิจกรรมด้านอาชีพการเกษตรร่วมกัน เพื่อฝึกให้เยาวชนได้มีความรู้ ด้านการเกษตร สามารถนำความรู้ไปช่วยเหลือผู้ปกครอง หรือฝึกให้เขารักอาชีพเกษตร เมื่อเขาเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเขาอาจจะมีโอกาสได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น บางท่านอาจจะกลับไปประกอบอาชีพแทนผู้ปกครองที่เป็นเกษตรกรอยู่ก็ได้นะครับ
การสร้างกิจกรรมกลุ่มยุวเกษตรกรในโรงเรียน ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร
๒. การสืบค้นหาความรู้เชิงวิชาการทางIT ต้องยอมรับ ณ.ปัจจุบัน ผู้ที่ทำหน้าที่ครูเกษตร ต้องมีความสามารถสืบค้นหาความรู้ โดยใช้IT ได้เป็นอย่างดี และสามารถนำไปประกอบพัฒนาสื่อการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี ที่จะเสริมหนุนให้ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ได้มีความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีบางครั้งอาจจะใช้เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาเฉพาะเรื่องได้
๓. การถอดบทเรียน บางครั้งก็อาจจะรวมถึงการถอดองค์ความรู้ก็ได้ ทั้งในระดับรายบุคคล แลรายกลุ่มการเลือกใช้เครื่องมือในการถอดบทเรียน ได้แก่ Mind Map,Village map,Fishbone Diagram,Venn Diagram,seasonal calendar,Transect,Village resource flow ,Problem Treeเป็นต้น เครื่องมือดังกล่าวนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่ครูเกษตรต้องมีทักษะในการใช้มาก่อนถึงจะทำการพิจารณาเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์นั้นๆได้อย่างเหมาะสม
เวทีที่สิงห์ป่าสักและเขียวมรกต ไปปฏิบัติงานร่วมณ.ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านที่บ้านนาป่าแดง
๔. การจัดเวทีการเรียนรู้ ครูเกษตรต้องมีประสบการณ์ในการจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในรูปแบบต่างๆ เพื่อทึ่จะสามารถพิจารณาเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์และบริบทนั้นๆ บางครั้งเคยออกแบบในห้องหรือที่ทำงาน เมื่อลงไปปฏิบัติจริงในชุมชนจะต้องปรับใหม่ทุกครั้งไปเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นจริงนั่นเองตัวอย่างเช่น บางครั้งต้องฝึกทักษะการปฏิบัติจริงให้แก่เด็กนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมยุวเกษตรในโรงเรียนร่วมกับครูผู้สอนวิชาเกษตร รวมทั้งผู้นำชุมชน และที่ปรึกษายุวเกษตรกรประจำชุมชนนั้นๆ
กิจกรรมการเลี้ยงไส้เดือนดินและทำน้ำหมักชีวภาพ ณ.โรงเรียนบ้านใหม่เชียงราย อำเภอปางศิลาทอง
บางครั้งการจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชน ครูเกษตร ต้องให้ความสำคัญกับปราชญ์ชาวบ้านที่ความรู้เรื่องภูมิปัญาท้องถิ่นอยู่ไม่น้อย การเล่าประสบการณ์จากปราชญ์ชาวบ้าน ก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่ครูเกษตรควรให้ความสำคัญ
๕. การประชาสัมพันธ์ ครูเกษตรจะต้องมีความเข้าใจงานประชาสัมพันธ์ควบคู่กับการเรียนการสอนได้แก่ การใช้สื่อบุคคล สื่อมวลชน สื่อเฉพาะกิจ(สื่อสิ่งพิมพ์ หอกระจาข่าว สื่อเสียงอีเล็คทรอนิกส์)และสื่อวิดีโอ เป็นต้น
๖. การนำการจัดการความรู้(KM) ไปเป็นเครื่องมือในการทำงาน ครูเกษตรต้องมีประสบการณ์ในการนำKM ไปเป็นเครื่องมือในการทำงาน สามารถกำหนดเป้าหมาย(Vision)งานร่วมกัน การสร้างทีมงาน การสร้างกรอบแนวความคิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันและคิดเชิงระบบ เป็นต้น เพื่อที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ โดยยึดหลักเรียนรู้ไปพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง
ทักษะทั้ง ๖ ประการที่ได้กล่าวมาแล้วครั้งต้น จะเป็นพื้นฐานงานของผู้ที่ทำหน้าเป็นครูเกษตรทั้งในและนอกระบบ จำเป็นที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อยอดในศตวรรษที่๒๑ ต่อไปครับ
การนำทักษะของการเป็นครูเกษตรไปปฏิบัติในชุมชนนั้น มันก็มีการพัฒนาเป็นลำดับ แต่ก็สำคํญอยู่ว่าใจมาหรือเปล่า หากจะพูดง่ายๆก็คือใจรักหรือเปล่านั่นเอง ผู้เขียนจะขอนำประสบการณ์ในการทำหน้าที่ของนักส่งเสริมการเกษตรก็คล้ายๆกับครูเกษตร แต่เราทำงานกับเกษตรกร กลุ่มอาชีพทางการเกษตร รวมทั้งต้องลงไปประสานการทำงานกับคณะครูโรงเรียนที่อยู่ในชุมชน(เป้าหมาย) อย่างต่อเนื่องเสมอมาโดยได้นำภาพที่เคยลงไปทำงานในพื้นที่ ชุมชนต่างๆในเขตจังหวัดกำแพงเพชร มาให้ชมแล้วนะครับ
เขียวมรกต
๒o ม.ค.๕๖
สอนได้ แต่เป็นครูนี่...ยากเหมือนกันนะคะ
ทำให้ดู..อยู่ให้เห็น..สร้างการมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์..การเกษตรไทยขยายผลอย่างยั่งยืนนะคะ