"ฮักถึงแก่น"..


ผู้มีอำนาจประสานกับนักธุรกิจ หรือบางทีก็เป็นคนเดียวกันคิดอ่านสร้างความเคลื่อนไหวทางกิจกรรมสาธารณะเพื่อให้ธุรกิจเดินสะพัด  เช่น งานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ งานสงกรานต์ปิดถนน งาน.....และงาน “ฮักถึงแก่น” ในวันที่ 14 ก.พ. ที่ขอนแก่นนี้

                                                  

 

มองคนละมุม : นักบริหารบ้านเมือง และนักธุรกิจเขาคิดอ่านแต่เรื่องจะทำอย่างไรจึงเกิดการเดินสะพัดของการเงิน เพื่อให้ธุรกิจเฟื่องฟู หากมีงานเช่นดังกล่าว ที่พัก ร้านอาหาร โดยเฉพาะไนต์คลับในรูปแบบต่างๆ ที่มีเครื่องดื่ม ดนตรี ที่วัยรุ่นชอบ  หากมีงานคนจะมาเที่ยวมากก็จะใช้บริการเหล่านี้มาก เงินก็สะพัด หากมองในมุมนี้ ก็ไม่เห็นความเสียหายอะไร

แต่อีกมุมหนึ่ง ผมว่ามันมากเกินไป เพราะงานแบบนี้สิ่งที่มาพร้อมๆกับกิจกรรมสาธารณะเชิงสนุกสนานนั้นก็คือ
การที่ใช้เงินเกินความจำเป็น เกิดปัญหาทางสังคม ยาเสพติดเดินสะพัด และไม่ได้สร้างสรรค์ให้สังคมมีความดีงามแต่อย่างใด  ท่านอาจจะบอกว่า อ้าว งานสงกรานต์นั้นเป็นงานประเพณีมิใช่หรือ เขาส่งเสริมวัฒนธรรมไทยเรามิใช่หรือ

ชื่องานนั้นใช่ การอ้างอิงประเพณียิ่งใช่ใหญ่ แต่สาระ รายละเอียดกิจกรรมนั้น มันก็แค่วันเสรีแห่งการกระทำทางการบันเทิง พร้อมๆกับดึงเอาวัฒนธรรมเดิมๆมาขยี้ด้วยความสนุกสนานมากกว่าเพื่อคุณค่า ความหมายแท้จริง  สิ่งที่ได้ก็คือธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้อง และทุกครั้งมีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ และพัฒนาความทุเรศในเรื่องการสาดน้ำ เต้นรำ และฯลฯ มากขึ้นทุกปี ดังเห็นว่าเมื่อปีที่ผ่านมาถึงขั้นเปิดเผยหน้าอกสตรีกันแล้ว หากสังคมไม่วิภาคย์กันหนักๆ ปีต่อไปอาจจะเห็นการแก้ผ้ากลางถนนเล่นน้ำก็ได้

เมื่อย้อนไปสมัยเราหนุ่มแน่น เราก็สนุกไปตามยุคสมัย แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรแผลงๆ แต่นั่นอาจจะเป็นเส้นทางเดินของพัฒนาการงานแบบนี้จากอดีตสู่ปัจจุบันก็ได้ เพราะแต่ละปีผู้จัดงานก็มักคิดที่จะทำอะไรที่ใหม่ๆ และแปลกๆ ซึ่งบรรยากาศงานก็สร้างพัฒนาการความต่ำทรามมากขึ้น

ไม่เคยมีนักวิชาการมาประเมินผลกิจกรรมทางสังคมแบบนี้

สังคมไม่เคยมีคณะกรรมการกลั่นกรองกิจกรรมสาธารณะเหล่านี้

สังคมไม่เคยมองมุมกลับย้อนไปหาคุณค่าที่ควรสร้างสรรค์ขึ้นจากกิจกรรมสาธารณะแบบนี้

จริงๆผมไม่คัดค้านงานสาธารณะ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการมองมุมเดียวเฉพาะในเรื่องเชิงบวก แต่ไม่มีใครมองเชิงลบบ้าง

อาจจะเรียกว่า Impact ของงานมีอะไรบ้าง ศึกษา วิจัยกันออกมาซิ  มีงานที่สร้างสรรค์สาธารณะอีกมากมายที่ทำได้ ทำไมนักบริหารและนักธุรกิจไม่คิดมองมุมนั้นบ้าง  เอาแต่เรื่องสนุกสนาน และสาระก็เป็นวัฒนธรรมนำเข้ามาจากต่างประเทศ มิใช่การต่อยอดจากฐานวัฒนธรรมของสังคมไทยเรา

สังคมเราถูกจูงไปด้วยระบบธุรกิจ และละทิ้งรากเหง้าของวัฒนธรรมไทยของเรา นักบริหารบ้านเมืองก็ถูกบรรยากาศกระแสหลักพัดพาไปจนขาดสติในการไตร่ตรองให้มากๆว่าผลเสียมีอะไรบ้าง

แล้วแก่นแกนความเป็นไทยจะเหลืออะไรอีกเล่า...นอกจากอยู่ในตำราที่ท่องบ่นกันเพื่อเอาคะแนนกันเท่านั้น
แต่ไม่เคยเข้าถึงคุณค่า ความหมายแท้จริงกัน...




หมายเลขบันทึก: 518282เขียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2013 02:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2013 02:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคนขอนแก่นแล้วครับว่าเป็นอย่างไร จะมีใครคิดต่างประเด็นแล้วรวมกันเพื่อทำสิ่งดีให้ขอนแก่นได้ไหม  แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนผมไปขอนแก่นมา(ประชุมภาษาอังกฤษนานาชาติ) โดยสมาคมครูสอนภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทย ผมพบคนเร่ร่อนถ่ายทุกข์กลางสี่แยกไม่ไกลจากโรงเรียนขอนแก่น   นอกจากนี้ยังมีคนเร่ร่อนเดินมากกว่าปกติ


คนอ่างทองไปอยู่ขอนแก่นคิดอย่างไรบ้างครับ

พี่บางทรายสบายดีไหมครับ

สวัสดีครับขจิต น้องชาย

มีเยอะครับภาพเช่นนี้ ยิ่งกว่านี้ก็มี  สะท้อนมากมายหลายอย่าง วิจารณ์ได้ก็คือ นักพัฒนาเทศบาลเมืองนั้นล้วนเป็นนักธุรกิจที่ปูทางเข้ามาเพื่อบริหารงบประมาณจำนวนมากของเมือง ที่ไหนๆก็เหมือนกัน หาน้อยมากที่ดีดี  มุ่งแสวงหาประโยชน์มากกว่าจะมาแก้ปัญหาสังคม


เสียงสภาประชาชนก็ไม่มีความหมายใดๆ เพราะเป็นสภาของนายทุนทั้งนั้น ครับ  มีเรื่องให้ทำเยอะไปหมด อิอิ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท