ในการทำงานที่ผ่านมา เรามักจะอ้างความสามัคคีว่ามาจากการว่าอะไรว่าตามกัน หรือ การลงมติตามเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งการว่าอะไรว่าตามกัน ก็มักจะว่าตามคนที่เสียงดัง หรือ คนที่มีอำนาจ ในขณะที่การลงมติตามเสียงส่วนใหญ่ มักจะใช้ในกรณีที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรก็ใช้การยกมือ
ทั้งสองกรณี ไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามัคคีเลยครับ แต่กลับจะนำไปสู่ความขัดแย้งและร้าวฉานที่เก็บกดอยู่ภายใน เพราะเราไปมองข้ามความคิดเห็นที่แตกต่างไป
ท่านพระราชสุธี ได้ใ้ห้ความหมายของความสามัคคี ไว่ว่า หมายถึงความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งบาดหมางกัน และ บอกต่อไปว่า ความสามัคคี มีด้วยกัน ๒ ประการ คือ ๑. ความสาัคคีทางกาย ได้แก่การร่วมแรงร่วมใจกันในการทำงาน ๒. ความสามัคคีทางใจ ได้แก่การประชุมปรึกษาหารือกันในเมื่อเกิดปัญหาขึ้น
จากนิยามและหลักการของความสามัคคีดังกล่าว พบว่าหลายๆ ครั้ง ที่ว่าสามัคคี จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ครับ เพราะเราไปเน้นแต่สามัคคีทางกาย ไม่ได้มองลงไปให้ลึกถึงสามัคคีทางใจ
จากประสบการณ์ของผมนะครับ หัวใจของความสามัคคี อยู่ที่สองเรื่อง ครับ
๑. การฟัง
๒. การหาทางเลือกที่สาม ที่เห็นคุณค่าของทุกฝ่าย และที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
เมื่อเราเริ่ม ฟัง และ ฟังอย่างลึกซึ้ง เราก็จะเข้าใจในความรู้สึก ความต้องการของแต่ละฝ่าย และ สามารถนำมาปรับให้เข้ากันได้แบบ win win
เป็นทางเลือกที่สาม ที่มีคุณค่า เพราะมาจากการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ได้ทั้งงานได้ทั้งคน
โดยไม่ต้องใช้เสียงดังของผู้มีอำนาจ หรือ ยกมือว่าจะเลือกทางไหน
เป็นแนวทางในการทำงานดีมากๆ ท่านรองฯสบายดีไหมครับ
หายเงียบไปเลย คิดถึงๆๆ