สายลมหนาวเริ่มเบาบาง ทิ้งไว้เพียงร่องรอยอันบ่งบอกถึงฤดูกาลที่ผันผ่าน... ใบไม้สีเขียวสดสะพรั่งในฤดูฝน กลับกลายเป็นสีเหลืองแห้งกรอบ บ้างก็เป็นสีน้ำตาลแดง อีกมากที่ร่วงหล่นลงมาทับถมตามทางเดิน รอวันสลายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน... ภาพที่เห็น หลายคนอาจมองว่าดูแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา หากแต่สิ่งที่เห็นนั้นคือถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ความแปรเปลี่ยนแห่งธรรมชาติที่แสดงให้มนุษย์ได้เห็นทุกวี่วัน เพียงเฝ้ารอให้มนุษย์มองเห็น รับรู้และเข้าใจถึงสัจธรรมความจริงนี้
ข้าพเจ้านั่งรถผ่านตามเส้นทางอันคดเคี้ยว สีเหลืองทองอมน้ำตาลของเหล่าบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่
ตัดกับสีฟ้าครามสดใสของท้องฟ้าเบื้องบนทำให้เพลิดเพลินกับการดูวิวสองข้างทาง เพื่อนๆ ที่เดินทางมาด้วยกันบ่นว่าดูแห้งแล้งแต่สำหรับข้าพเจ้าภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ยังคงความงดงาม
ไม่ต่างจากภูเขาและต้นไม้ที่เขียวขจีในฤดูฝน
อันที่จริง ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่เหล่าบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่
พากันผลัดใบเพื่อรักษาความชื้นในฤดูกาลอันแห้งแล้ง เป็นการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ....ชีวิตคนก็คงไม่แตกต่างจากต้นไม้
แต่ละคนล้วนต้องปรับตัวปรับใจยามเผชิญกับฤดูกาลที่หมุนเวียน ผลัดเปลี่ยนเข้ามาในชีวิต
เป็นการรักษาสมดุลแห่งชีวิต เพื่อให้ชีวิตได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างงดงาม
กว่าจะมาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ก็ต้องผ่านภูเขาหลายลูก โค้งหลายร้อยโค้ง
( โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่เมารถง่าย ไม่งั้นคงได้อ้วกมาตลอดทางแน่ๆ) ป้ายบอกระยะทางข้างทาง บอกว่าอีก 1 กิโลเมตรจะถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
สองข้างทางยังคงเป็นต้นไม้สูง ยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นชุมชน
หรือตัวจังหวัดแต่อย่างใด ทำให้เราชักไม่แน่ใจ....เอ
นี่พวกเรามาผิดทางกันหรือเปล่านะ?
ขับรถไปได้สักระยะ เริ่มเห็นแสงไฟซึ่งบ่งบอกความเป็นเมือง แต่ถึงกระนั้นแสงไฟที่สาดส่องอยู่ลิบๆ ก็ยังเทียบไม่ได้กับจังหวัดใหญ่ๆ ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ยังคงเห็นดาวเล็กๆ ทอแสงระยิบระยับ หากเป็นเมืองใหญ่ แสงไฟคงบดบังแสงดาวเสียหมด
โชคดีที่ ณ ที่แห่งนี้ แสงเมืองยังคงแบ่งพื้นที่ให้แสงดาว ดาวดวงน้อยจึงสามารถทอแสงระยับ ให้คนอย่างข้าพเจ้าได้ชื่นชม
“แม่ฮ่องสอน” เป็นเงียบสงบเมืองเล็กๆ
น่ารัก เป็นเมืองในหุบเขา ข้าพเจ้าคิดว่า ที่แม่ฮ่องสอนได้ชื่อว่าเมืองสามหมอก คงจะเป็นเพราะมีหมอกทั้งสามฤดูก็เป็นได้
(ไม่แน่ใจว่าหมอกในฤดูร้อนนี่ เป็นหมอก หรือว่าเป็นควันไฟจากการเผาป่า?) ช่วงที่พวกเราไปนี้ อากาศไม่หนาวแล้ว
แต่ก็ยังรู้สึกสบายๆ ไม่ร้อนอบอ้าวเท่าใดนัก
ข้าพเจ้าเคยมาเยือนเมืองสามหมอกครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สาม แต่ละครั้งก็ยังประทับใจเสมอ ตอนที่ข้าพเจ้ามาเที่ยวในฤดูหนาซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ผู้คนมากมายกว่านี้ ถนนคนเดินมีสินค้าพื้นเมืองขายมากมายกว่าครั้งนี้ หากเทียบกับเมืองปายแล้ว แม่ฮ่องสอนซึ่งเป็นตัวจังหวัด มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าปายมาก และเท่าที่ข้าพเจ้าสังเกต ก็พบว่านักท่องเที่ยวมักจะเป็นชาวต่างชาติสูงวัย ในขณะที่ปายจะเป็นวัยรุ่นเสียมากกว่า...เอ หรือเพราะวัยนะ ข้าพเจ้าจึงได้ชอบเมืองแม่ฮ่องสอน 555
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเติมพลังเป็นที่เรียบร้อย
ก็ได้เวลาเดินถนนคนเดิน
ถนนคนเดินของแม่ฮ่องสอนนี้ เป็นถนนคนเดินที่สวยที่สุดในสายตาของข้าพเจ้า
เพราะเส้นทางที่ตั้งสินค้าขายนั้นเป็นถนนรอบๆ หนองจองคำ ซึ่งเดินไปก็จะเห็นพระธาตุจองคำประดับไฟสว่างไสว
บางครั้งมีผู้คนไปปล่อยโคมลอยเพื่อสะเดาะเคราะห์
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปภายในบริเวณวัด
บูชาดอกไม้ธูปเทียน....เดินเวียนรอบพระธาตุ ก่อนจะวางดอกไม้บูชาที่พระพุทธรูปประจำวันเกิด
บางคนซื้อธูปเทียนดอกไม้จัดใส่เรือลำเล็กๆ ลอยน้ำ บูชาพระพุทธรูปของพระอุปคุต ขอสารภาพตามตรงว่าข้าพเจ้าเพิ่งจะมารู้จักประเพณีการบูชาพระอุปคุตก็ครั้งนี้เอง
กลับมาจากเที่ยว จึงมาหาข้อมูลเกี่ยวกับพระอุปคุตเสืยหน่อย
พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ถือได้ว่าเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ชื่อ "อุปคุต" แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษา
พระอุปคุตเป็นพระที่เป็นที่นิยมของชาวอินเดีย
มอญและชาวไทยทางเหนือ และอีสาน สมัยก่อนพระมอญได้นำพระบัวเข็มมาถวายรัชกาลที่ 4
ในตอนที่พระองค์ทรงผนวชอยู่ แม้รัชกาลที่ 5ก็ยังทรงกล่าวถึงความเป็นมาในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนด้วย
ชีวประวัติเชื่อกันมาว่า พระอุปคุตมีอิทธิฤทธิ์ปราบพระยามาร
มีเรื่องเล่ามาว่า ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน
ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้ของประเทศอินเดีย)
พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
ได้ฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมดที่พระองค์สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
แต่ถูกพระยามารมาผจญ ท่านจึงนิมนต์พระอุปคุตไปปราบพระยามารจนพระยามารยอมแพ้ จากนั้นพระอุปคุตก็มีชื่อเสียงในทางปราบมาร
ท่านมีอีกชื่อว่า "พระบัวเข็ม"
ปัจจุบันยังมีความเชื่อในหมู่ชาวล้านนาว่า
พระบัวเข็มหรือพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ ในทุกวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ
ชาวล้านนาจะเรียกว่าเป็น "วันเป็งปุ๊ด"
พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตในร่างเณรน้อย และจะออกมาเวลาเที่ยงคืน
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น
ประวัติในแง่ของพระเครื่องพระบัวเข็ม หรือ
พระอุปคุต ในทางพระเครื่องมีประวัติว่า "พระบัวเข็ม" เดิมเป็นพระพุทธรูปมอญ
เข้ามาแพร่หลายในไทยช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 โดยพระรามัญได้นำมาถวายท่านวชิรญาณภิกขุ
(ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) โดยเชื่อในพุทธคุณว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์
ก่อให้เกิดลาภผล ความมั่งมี ขจัดภยันตราย และมีอิทธิฤทธิ์ในทางขอฝนอีกด้วย
(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/)
ระหว่างเดินเที่ยวชมสินค้าพื้นเมืองที่มีเพียงไม่กี่ร้านนั้น
ก็จะมีเสียงดนตรีและบทเพลงพื้นเมืองขับกล่อม....เป็นโฟล์คซองคำเมือง
เป็นเสียงของศิลปินชายหญิงคู่หนึ่งที่คอยบรรเลงบทเพลงขับกล่อมผู้คนที่เดินผ่านไปมา
เค้าร้องเพลงแล้วก็ขายซีดีเพลงที่แต่งขึ้นเอง
บางบทเพลงที่นำมาขับร้องก็นำมาจากศิลปินท่านอื่นๆ
ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อห้าปีที่แล้วที่ข้าพเจ้ามาเดินถนนคนเดินของเมืองแม่ฮ่องสอน พวกเค้าก็ร้องเพลงอยู่ที่หน้าวัดพระธาตุจองกลางจองคำแล้ว แม้เวลาจะผ่านไป พวกเค้าก็ยังคงร้องเพลงขับกล่อมชาวเมืองสามหมอกและนักท่องเที่ยวอยู่เช่นเดิม เสียงเพลงคำเมืองและดนตรีเบาๆ รับรู้ได้ถึงความสุขที่ต้องการจะถ่ายทอดให้กับคนที่ได้รับฟัง เป็นการบอกผ่านความสุขและเอกลักษณ์พื้นเมืองผ่านเสียงดนตรี
ข้าพเจ้าอุดหนุนโดยการซื้อซีดีที่พวกเค้าแต่งเอง 1 แผ่น วัสดุที่ห่อแผ่นซีดีก็แสนจะน่ารัก ทำจากใบตองตึงนำมาผูกเชือกทำเป็นถุงมีหูหิ้วเล็กๆ น่ารักมาก
ข้าพเจ้ายืนฟังเพลงเงียบๆ ณ ริมหนองจองคำ ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ผู้คนบางตา
ไม่พลุกพล่าน แหงนมองบนฟ้า พระจันทร์เสี้ยวและดาวดวงน้อยยังคงทอแสงสาดส่องค่ำคืนแห่งความสุข
สงสัยจะต้องมนต์เสน่ห์แห่งเมืองสามหมอกเสียแล้วสิ
^_^
แหม เราน่าจะได้เดินเจอกันนะ คุณหมอดาว ;)...
อ่านแล้วตาร้อนๆผ่าวๆๆ พระอุปคุตหรือพระบัวเข็ม คือพระที่เราพบที่เกาะเกร็ดครับ
ตอนนี้เริ่มงุนงงว่า เอนี่หรือหมอหรือนักเขียนเนี่ย
สายลมหนาวเริ่มเบาบาง ทิ้งไว้เพียงร่องรอยอันบ่งบอกถึงฤดูกาลที่ผันผ่าน... ใบไม้สีเขียวสดสะพรั่งในฤดูฝน กลับกลายเป็นสีเหลืองแห้งกรอบ บ้างก็เป็นสีน้ำตาลแดง อีกมากที่ร่วงหล่นลงมาทับถมตามทางเดิน รอวันสลายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน... ภาพที่เห็น หลายคนอาจมองว่าดูแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา หากแต่สิ่งที่เห็นนั้นคือถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ความแปรเปลี่ยนแห่งธรรมชาติที่แสดงให้มนุษย์ได้เห็นทุกวี่วัน เพียงเฝ้ารอให้มนุษย์มองเห็น รับรู้และเข้าใจถึงสัจธรรมความจริงนี้
เกือบ โดน เสน่ห์ เมือง สามหมอกเหมือนกัน เจ้าค่ะ ยายธี
ขอบคุณที่พาเที่ยว นะคะ น้องหมอดาว ;)
@อาจารย์เสือ อาจจะมีบางครั้งที่เดินผ่านกันก็ได้ค่ะ ใครจะไปรู้ 555
@พี่แอ๊ด ดาวก็เพิ่งนึกออกตอนหาข้อมูลนี่แหล่ะค่ะ รูปปั้นท่านตอนเป็นพระอุปคุตกับพระบัวเข็มไม่เห็นจะเหมือนกันเลยนะคะ
@คุณยายธี ดาวโดนเสน่ห์เมืองสามหมอกเข้าไปเต็มๆ เลยล่ะค่ะ กำลังหาวิธีถอนตัวค่า 555
@พี่หนูรี ขอบคุณนะคะ ที่มาเที่ยวชมเมืองสามหมอกด้วยกัน ;-)
พี่ไม่ได้ไปแม่ฮ่องสอนมานานนับสิบปี ดูจากภาพตลาดกลางคืนก็เปลี่ยนไปมากค่ะ ยังมีภาพความทรงจำตลาดเช้าอยู่ ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด
ตอนไปได้เห็น หน้าแล้ง ใบไม้เป็นสีน้ำตาลทอง บนเขายังมีใบไม้เปลี่ยนสีไล่เฉดเหลืองส้ม แดง เหมือนในประเทศแถบหนาวเลยค่ะ
อยากไปมากเลยครับ
อยากไปด้วยเหมือนกัน
@พี่นุช ดาวยังไม่เคยเดินตลาดเช้าที่แม่ฮ่องสอนเลยค่ะ เพราะส่วนมากก็ออกเดินทางไปปางอุ๋งแต่เช้า
ตอนขับรถออกจากตัวเมืองเห็นพระท่านกำลังบิณฑบาต เสียดายเหมือนกันค่ะที่ไม่ได้ตักบาตร
ถ้ามีโอกาสได้ไปอีก คราวนี้คงต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับตักบาตรและเดินตลาดเช้าค่ะ ^^
@คุณแสง ดาวว่าเป็นถนนคนเดินที่ได้บรรยากาศไปอีกแบบนะคะ น่าไปมากๆ เลยค่ะ;-)
@คุณครู ป.1 ไปค่ะ...เราไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนกัน ^_*
อ่านแล้วเหมือนได้มาเที่ยวแม่ฮ่องสอนจริงๆ ขอส่งความสุขมาให้ครับผม
@Dr.Pop
แวะมารับความสุขในวันปีใหม่ไทยค่ะ....ขอส่งคืนความสุขให้ Dr. มีความสุขเช่นกันนะคะ ;-)
สบายดีไหม ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่ไทยครับ
แวะมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนด้วยคนครับ มีความสุขมากๆนะครับ ขอบคุณมากครับ
น้องดาวว่างได้อย่างไรเนี่ย
ตอนนี้กำลังเพาะเห็ดและปลูกผักให้นักเรียนสนุกมากๆๆ
เอามาล่อก่อน
อยากกินแกงเห็ดกับผัดผักเลยค่ะ..ล่อได้ผล 555
อิจฉาคนอยู่บ้าน
เอามาล่ออีก
หายไปจากระบบ
เข้าใจว่างานยุ่งมาก
สบายดีไหม
ตอนนี้มาปลูกผักแล้ว
ผักๆๆๆ
สนใจปลูกผักอ่านนี่เลย
ปลูกใช้เวลานานมากๆๆ
การปลูกผักแบบดาวล้อมเดือนและใช้น้ำน้อย(16)
สอนนักเรียนด้วย
เหลือจนขายได้
555555
เขาเรียกการปลูกผักแบบนี้ว่า
29 มีนาคม มาได้อย่างไรเนี่ย
แปลกใจพอทำงานแล้วว่างน้อยมาก
อดเทียวแอบแฝงเลยใช่ไหม
5555