บันทึกนี้ ผมเจตนาจะตอบ อีเมล์ ที่ถามมาครับ เป็นของ [email protected] ที่ถามมาทางอีเมล์ของ G2K เข้าใจว่าไปอ่านมาจากบทความเรื่อง ราคาไม้ยางตกไร่ละแสนกว่าบาท หรือไม่ก็จากบทความเรื่อง ราคาไม้ยางพาราแพงกว่าราคาสวน
ตามที่คุณดาสอบถามราคาไม้ยาง ผมจะให้วิธีการซื้อไม้ยางก่อนนะครับ
การซื้อไม้ยาง เป็นตัวกำหนดราคาไม้ยางพารา มี 2 แบบ คือ ราคาไม้ยางที่โรงงานเลื่อยแปรรูปซื้อจากพ่อค้าคนกลางหรือตนตัดไม้ กับ ราคาที่คนตัดไม้ยางมาซื้อจากเจ้าของสวน ว่ากันทีละเรื่องนะครับ
1) ราคาไม้ยางที่โรงงานเลื่อยแปรรูปซื้อจากรถที่เอาไปส่ง โรงงานจะซื้อไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว ขึ้นไป (บางโรงงานลดเหลือเล็กสุด 4 นิ้ว แต่ต้องคละกับไม้โตในสัดส่วนพอประมาณ) ความยาวท่อนละ 1.10 เมตร เป็นราคาต่อกิโลกรัม ราคาจะอยู่ระหว่าง กก.ละ 1.50 - 4.50 บาท ราคาจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความต้องการของโรงงานกับปริมาณของที่มี (Demand - Supply) หน้าแล้งราคาถูก หน้าฝนราคาแพง เพราะสวนที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าไปตัดไม่ได้ แต่หน้าแล้งเข้าได้หมดทุกสวนราคาก็จะถูก ดังนั้นใครมีสวนยางที่จะโค่น ติดถนนใหญ่เข้าออกสะดวก แนะนำให้ขายในช่วงหน้าฝนซึ่งโรงงานจะให้ราคาดี เมื่อโรงงานให้ราคาดี คนตัดไม้ที่ซื้อจากสวนก็จะให้ราคาดีไปด้วย
2) ราคาไม้ยางที่คนตัดไม้ยางซื้อจากสวน คนที่ซื้อจะเอาไปขายที่โรงงานเลื่อยแปรรูปตามข้อ 1 อีกที ราคาที่ซื้อ จะใช้วิธีประเมินจากปริมาณและคุณภาพไม้ยาง ดังได้กล่าวไว้ในข้อแรก ไม้ยางขนาดโตๆ เป็นไม้ที่ต้องการของโรงงาน แต่ไม้ขนาดเล็กก็สามารถถัวเฉลี่ยได้ ดังนั้นถ้าไม้โตมีมาก ราคาก็จะดี ถ้าไม้เล็กมีมากกว่า ราคาก็จะถูกกดลงมา ต้องไม่ลืมว่าคนตัดไม้ต้องจ่ายค่าแรงงาน, ค่าน้ำมันรถ, ค่าน้ำมันเลื่อยโซ่ยนต์, ค่านายหน้า, ค่าผ่านทาง เป็นต้น ดังนั้นคนซื้อไม้จากเจ้าของสวนก็จะประเมินราคาที่เผื่อต้นทุนและกำไรไว้ด้วย ต้นยางขนาดโตๆ ไร่ละประมาณ 60-70 ต้น ย่อมราคาดีกว่า สวนยางที่ใด้ขนาดเท่ากัน แต่ปริมาณเพียงไร่ละ 40-50 ต้น อีกประเด็นที่สำคัญมาก คือ ฝีมือในการขายและการแข่งขันในพื้นที่ ถ้าการแข่งขันสูง ราคาก็จะดี แต่ถ้าโดนผูกขาด ก็จะถูกกดราคา ส่วนคนที่มีลูกล่อลูกชนในการเสนอราคาขายและสามารถยืนราคาได้ดี ย่อมได้ราคาดีกว่า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การตกลงจะซื้อขายไม้ยางพารา ขอแนะนำให้ทำสัญญาให้ชัดเจน โดยการตกลงซื้อขายต้องมีมัดจำ และมีกำหนดเวลาที่แน่นอน ถ้าเลยเวลาแล้วยังไม่ชำระเงินทั้งหมด ก็ถือว่าสละสิทธิ์ ยึดเงินมัดจำและบอกขายเจ้าอื่นได้ทันที เคสแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับญาติข้างบ้านมาแล้ว คือตกลงจะซื้อไม้ยางราคาสามแสนบาท วางมัดจำเสร็จ ไม่ยอมเข้าโค่นไม้สักที จะปลูกยางต่อก็เตรียมดินไม่ได้ เงินก็ยังไม่ได้ มีแต่เงินมัดจำ 5% ซึ่งน้อยนิด เคสนี้ติดที่ไม่ได้ตกลงเรื่องเงื่อนเวลาครับ
อีกเคส เกิดขึ้นกับผมเองครับ เมื่อ 2539-40 ผมโค่นต้นยางประมาณ 2 ไร่ บริเวณที่ทำบ้านอยู่ปัจจุบัน โค่นเพื่อสร้างบ้านครับ ตกลงขายในราคารถ(ปิกอัพ)ละ 600 บาท โดยมีข้อแม้ ไม้ขนาด 4-6 นิ้ว ให้ตัดไว้ให้ผมขนาด 3.00 เมตร เพราะผมจะเอาไว้ทำเสาเข็มก่อสร้างบ้าน เมื่อโค่นเสร็จเขาก็ขนไม้ที่ได้ขนาด(ไม่เล็กกว่า 6 นิ้ว) ขึ้นรถไปและจ่ายเงินให้รถละ 600 ตามที่ตกลง ซึ่งเขาเอาไปส่งได้ กก.ละ 1.90 บาท คันรถหนึ่งก็ประมาณ 1500-2000 กก. ไม้ที่เหลือเขาตัดเป็นไม้ฟืน ซึ่งไม้ฟืนไม่ต้องวัดขนาด เขาเอาไปส่งเตาเผาถ่าน กก.ละ 1.00 บาท แต่เขาจะไม่จ่ายให้ผมตามที่ตกลงกัน ผมเลยต้องบังคับไม่ให้เอาไม้ออกจากสวน เพราะที่เราตกลงกันคือราคารถละ 600 บาท ซึ่งไม่ได้พูดถึงขนาดของไม้ ตกลงไม้ฟืนที่เหลืออยู่เอาไปเผาถ่าน ใช้ได้เป็นสิบกว่าปีครับ ถ่านชุดนั้นพึ่งใช้หมดไปเมื่อกลางปี 2555 นี่เอง
เคสที่ 3 ขายไม้ยางโดยตกลงให้ขุดตอยาง + เคลียร์พื้นที่ + ไถบุกเบิก(สามจา) + ไถพรวน(เจ็ดจาน) โดยมีข้อแม้ว่าห้ามไถโดนหลักโฉนด หากหลักโฉนดหายให้รับผิดชอบค่าสอบเขตกับที่ดินอำเภอ งานนี้คนรับซื้อไม้ยางไปว่าจ้างคนอื่นมาไถพรวนให้ แล้วหลักเขตที่ดินประมาณ 40 หลัก บนพื้นที่ 6 ไร่ หายเกลี้ยงเลย งานนี้นายหน้าคนที่มาติดต่อซื้อต้องจ่ายค่าตรวจสอบหลักเขต 3,500 บาท แต่กว่าจะลงเอยกันได้ คุยกันอยู่นาน โชคดีที่ตกลงกันชัดเจน
ที่เล่าให้ฟังทั้ง 3 เคส เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้พึงระวัง เพราะการตกลงขายไม้ยางเกี่ยวข้องกับนายหน้า และพ่อค้าซึ่งมีผลประโยชน์สูง หากเกิดการขัดแย้ง ตกลงกันไม่ได้ อันตรายถึงชีวิตนะครับ พอๆ กับนายหน้าขายที่ดินเลยแหละ เห็นมาเยอะแล้ว
ปลูกยางขายอะไรล่ะครับ
กำลังจะขายไม้ครับถ้าขายตรงกับโรงงานจะดีกว่าพ่อค้าคนกลางมั้ยครับอยากทราบ
กำลังจะตัดครับไม่รู้ว่าจะไปขายยังไง