เมื่อเรายังเป็นเด็กได้รับการอบรมว่า ให้เรียนให้มากจะได้มีวิชา เหมือนบทอาขยานที่เราท่อง
เด็กเอ๋ย เด็กน้อย ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา
เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน
ได้ประโยชน์หลายสถานเพราะการเรียน จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล
ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย
พอเราเรียนจบได้รับใบปริญญาเป็นบัณฑิตตามหลักสูตร แต่การเรียนชีวิตยังไม่สิ้นสุด เราได้เรียนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยชีวิตที่ได้ลงทะเบียนเรียนโดยอัตโนมัติ เรียนกันอย่างล้มลุกคลุกคลานบ้าง เรียนกันมาอย่างลองผิดลองถูกบ้าง บ้างก็พบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างก็โชคดีมีเงินทองร่ำรวยด้วยการงานที่ได้ทำมาหาเลี้ยงชีพ
มหาวิทยาลัยชีวิตนี้ไม่มีหลักสูตรกำหนดการเรียนที่เฉพาะ ไม่มีระยะเวลาแห่งการเรียน และที่สำคัญไม่มีใครมาสอนด้วย นั่นคือ ทุกท่านต้องเรียนรู้เพื่อการดำเนินชีวิตให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสมตามครรลองครองธรรม จะยึดมั่นในหลักการที่ตนนับถือและศรัทธาใดใดก็ตามเพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและถูกต้องเหมาะสม
มหาวิทยาลัยชีวิตนี้ต้องมีบทเรียนให้เราได้เรียนกันตลอดเวลา บ้างดำเนินการเรียนไปอย่างราบเรียบ บ้างโลดโผนจนต้องสูญเสีย หรือหลงทางเดินเข้าไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งชั่วร้าย ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในความชั่วร้าย เพราะเลือกทางผิดเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยชีวิตที่ผิดพลาด ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นบทเรียนราคาแพง เสียเวลาในการเผชิญอยู่กับบทเรียนมหาวิทยาลัยนี้อย่างไร้ค่า
ดังนั้น ถึงเราจะเรียนจบหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยทางการ หากไม่นำพาความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้ในการดำเนินชีวิต มักจะถูกชักจูงไปในทางที่ผิดได้โดยง่าย มหาวิทยาลัยชีวิตจึงต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง คิดพิจารณา ไตร่ตรองเสมอ ว่าการตัดสินใจทำอะไรด้วยคิดวิจารณญาณ เป็นการเชื่อมโยงนำความรู้มาช่วยในการตัดสินใจเดินทางในการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยชีวิต
เมื่อเราผิดพลาดด้วยการใดใด มักจะถูกตำหนิเสมอว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะเราอาจจะทำอะไรโดยไม่คิดพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองให้รอบคอบ
ที่ว่า การเรียนรู้มีัตลอดชีวิตคืออย่างนี้นี่เอง ผู้คนส่วนจึงเล็งเห็นเป็นสำคัญว่า ต้องเรียนรู้ให้จบหลักสูตรทางการ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยชีวิตต่อไป
เป็นบทอาขยานที่คลาสิกมากครับ อาจารย์ ว่าแต่ทุกวันนี้เด็กๆท่องกันได้หรือเปล่า....