เมื่อยังเป็นเด็กเวลาเข้าเรียนมักจะฟังครูสอน ทำตามที่ครูสั่ง ตอบคำถามที่ครูถาม ทำการบ้านมาส่งครู รอคอยสมุดกลับมาว่าจะมีข้อผิดที่ต้องแก้หรือไม่ กระบวนการเรียนรู้เป็นไปแบบนี้ทุกวัน แต่สำหรับการเรียนรู้ในสมัยศตวรรษที่ 21ได้เปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ไป ผู้เรียนต้องมีบทบาทเพิ่มขึ้น และตรงกันข้ามลดบทบาทของครูลงไป
ต่อมา กระบวนการคิดเข้ามามีส่วนในการเรียนรู้มากมาย การเรียนรู้ที่ดีต้องมีการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดหลากหลายรูปแบบ ครูผู้สอนต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียนและตรงตามเนื้อหา
ที่นิยมกันมาก ได้แก่การเรียนรู้ที่ คิด ค้นคว้า ปฏิบัติ นำเสนอ ICT เขียนรายงาน เผยแพร่ผลงาน
ผู้เรียนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ เพราะเข้าใจและปฏิบัติได้ในกระบวนการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนได้ออกแบบทุกขั้นตอน การฝึกให้ผู้เรียนคิด และนำไปปฏิบัติได้ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ ผนวกกับความรู้รอบ จนออกมาเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่พัฒนาและสร้างสรรค์
สมัยที่เรียนปริญญาโท อาจารย์ไม่ได้สอนเรามากมาย แต่ท่านมีขั้นตอนการเรียนชัดเจนว่า เราต้องเรียนรู้อะไร ใช้ทักษะในด้านใด ทั้งเรื่องการคิด การค้นคว้า การทำงานเป็นทีม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การใช้ ICT การเขียนรายงาน และการนำเสนอ ล้วนแล้วแต่เป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และอาจารย์ก็ปล่อยให้เวลาเราออกจากห้องสี่เหลี่ยมไปค้นคว้าหาความรู้
หากผู้้เรียนในทุกวัย เข้าใจและปฏิบัติได้ในเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของผู้สอน ก็จะเกิดผลต่อการเรียนรู้ได้ดี มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องรอให้ผู้เรียนเติบโตจนถึงขั้นบัณฑิตวิทยาลัย เรานำมาจัดการให้เด็กๆได้ เพียงแต่ออกแบบการเรียนรู้ที่ลดขั้นตอน หรือเบาๆน้อยๆกับการจัดการ เช่น การค้นคว้าหาความรู้ ครูผู้สอนอาจจะบอกแหล่งการเรียนรู้ด้วยก็ได้
ในระยะการปฏิรูปการศึกษา เป็นระยะที่ครูอ้อยเรียนจบปริญญาโท ได้นำกระบวนการเรียนรู้นี้มาใช้กับผู้เรียนระดับประถม ใช้ได้เต็มรูปแบบบ้าง ลดขั้นตอนลงไปบ้าง นำผู้ปกครองมามีส่วนร่วมบ้าง อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้นักเรียนได้มีบทบาทมากขึ้นกว่าการนั่งเรียนเฉยๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะเกิดความเคยชินกับการเรียนรู้แบบนี้ ที่ต้องใช้ความกล้าเผชิญที่จะค้นคว้าหาคำตอบ ไม่ใช่นั่งนิ่งให้ครูมาป้อนคำตอบตลอดไปทุกเรื่อง หรือนำโจทย์กลับไปบ้านและให้ผู้ปกครองจัดการให้ กลายเป็นเิกิดการเรียนรู้ที่ผู้ปกครอง
ดังนั้น การเรียนรู้ที่ท้าทายอย่างมากคือ ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการค้นหาคำตอบ จะเป็นการคาดคะเน การพยากรณ์ การค้นคว้าหาข้อมูลจากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ผนวกกับผู้เรียนต้องได้รับการฝึกความกล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก ตั้งคำถามเป็น ฝึกการสังเกต และนำมาเขียนเป็นเรื่องราวได้
วิธีการต่างๆที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการฝึก คือ การสังเกต การตั้งคำถาม เพื่อค้นหาคำตอบ เมื่อเขาหาคำตอบได้ เขาต้องพยายามเสริมความคิดสร้างสรรค์เพื่อเป็นองค์ความรู้ใหม่ ออกแบบการนำเสนอด้วย ICT เขียนรายงาน และเผยแพร่ผลงานได้
การเีรียนรู้ด้วยการค้นหาคำตอบ ต้องใช้ความร่วมมือจากฝ่ายบริหาร เพื่อนครู ครูประจำชั้น และที่สำคัญมาก คือ ผู้ปกครอง ที่จะช่วยเสริมสร้งคุณสมบัติ และทักษะให้ีกับผู้เรียนไปพร้อมๆกัน
.... เห็นด้วยอย่างมากนะคะ โลกในอนาคต .... ภาษาEng. เป็นเรื่องสำคัญมาก .... ขอบคุณบทความดีดีนี้ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ Dr. Ple ที่เป็นกำลังใจ ชื่นชม และมอบดอกไม้ให้
สนับสนุนคุณครูอ้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรง เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกลงมือเอง ตั้งแต่คิด การตั้งคำถามเป็น
การตั้งคำถามเป็นและเป็นคำถามที่นำไปสู่การยกระดับความรู้ขึ้นไปอีกขั้น หรือ หลายๆขั้น เป็นสิ่งที่นักเรียน นักศึกษาจำนวนไม่น้อยทำไม่ได้ พี่มีประสบการณ์ว่าการพัฒนาการตั้งคำถามให้เป็นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเรียนรู้ด้วยการหาคำตอบค่ะ
ใช่ค่ะ หากทุกฝ่ายช่วยกัน การศึกษา การเรียนรู้ จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
"กระบวนการคิดเข้ามามีส่วนในการเรียนรู้มากมาย การเรียนรู้ที่ดีต้องมีการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดหลากหลายรูปแบบ ครูผู้สอนต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียนและตรงตามเนื้อหา"
"ดังนั้น การเรียนรู้ที่ท้าทายอย่างมากคือ ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการค้นหาคำตอบ จะเป็นการคาดคะเน การพยากรณ์ การค้นคว้าหาข้อมูลจากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ผนวกกับผู้เรียนต้องได้รับการฝึกความกล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก ตั้งคำถามเป็น ฝึกการสังเกต และนำมาเขียนเป็นเรื่องราวได้"
ประเด็นนี้ต้องขยายครับคุณครู ขยายแนวคิดนี้ให้เป็นรูปธรรมและแพร่ไปในทุกระดับ ผู้บริหารกระทรวงฯ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง นักเรียน ต้องเริ่มจริงจัง ต้องอยู่ในแผนนโยบายการศึกษา ต้องนำมาปฎิบัติให้ได้โดยเร็ว เราหยุดนิ่ง ล้าหลัง มานานเกินไปแล้วครับ