526. อำนาจของนิสัย (The Power of Habit) บทที่ 6


เร็วๆนี้เราคงได้เจอข่าวฮือฮา ที่ผู้จัดการโรงหนังดังทะเลาะกับลูกค้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ว่าทำไมเป็นผู้จัดการต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น เรื่องราวนี้จบลงด้วยการที่ผู้จัดการลาออก ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับองค์กร ก็มากมายเรียกว่า ไม่รู้จะไปเรียกร้องกับใคร วันนี้ผมไม่โทษใครครับ แต่จะมองอีกมุมหนึ่ง  วันนี้เริ่มงานวิจัยครับ 

ราวๆปี 60 นักวิจัยได้ทดลองเอาเด็ก 4 ขวบมากลุ่มหนึ่ง โดยให้เงื่อนไขไปว่า มีขนมตั้งอยู่ตรงหน้า ถ้ากินทันทีจะได้กินเพียงชิ้นเดียว แต่หากรออีกหน่อย 2-3 นาที ไม่กินทันทีจะได้รางวัลเพิ่มคือได้ทานอีกชิ้น นักวิจัยก็แอบมองผ่านห้องกระจก ก็พบว่าเด็กส่วนใหญ่จะรีบกินทันที บางคนถึงกับไม่สนใจ กินมันเท่าที่จะคว้าได้ หากแต่จะมีเด็กบางคน ที่สามารถควบคุมตัวเองได้ คือรอแล้วได้ทานชิ้นที่สอง การทดลองไม่จบเท่านี้ มีการติดตามเด็กกลุ่มหลังไปจนโต พบว่าเด็กกลุ่มหลังมีผลสอบ SAT (คล้ายๆ ONET บ้านเรา) สูงกว่าเด็กกลุ่มแรกถึง 200 คะแนน ติดสิ่งเสพติดน้อยกว่า แถมยังเป็นเด็กที่ดูมีชื่อเสียง คือป๊อปกว่าด้วย  มีความสามารถที่จะรักษามิตรภาพได้ยาวนานกว่า แถมมีขีดความสามารถที่จะแก้ปัญหาที่มันท้าทายชีวิตได้ดีกว่า


                     

               Cr: http://www.ddftherapy.com/therapy-style/play-therapy/finger-painting-2


การทดลองครั้งนั้นส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในเรื่อง Will Power (วิลล์ พาวเวอร์) หรือ “แรงใจ” มากๆ  เพราะค้นพบว่ามีผลต่อความสำเร็จใจชีวิต ในองค์กรถ้าได้คนมี Will Power แล้ว รับรองต้องประสบความสำเร็จแน่นอน จึงมีความพยายามที่จะศึกษาต่อไป แล้วเริ่มมีการตั้งคำถามว่า ไอ้ Will Power นี่สร้างได้ไหม เพราะถ้าสร้างได้ หมายถึงเรากำลังบ่มเพาะความสำเร็จให้กับคนและองค์กร ต่อมามีการทดลองโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ที่ตอบโจทย์ได้พอดี เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ นักวิทยาศาสตร์เกณฑ์คนมาออกกำลังกายสามเดือน เข้ายิม โดยมีเงื่อนไขต้องมาทุกวัน สามเดือนผ่านไป ร่างกายทุกคนดีขึ้น แต่ที่ตามมา เรื่องน่าแปลกใจครับ คือทุกคนมีพฤติกรรมส่วนตัวดีขึ้น คนที่เคยกินเหล้าก็กินน้อยลง ที่เคยสูบบุหรี่ก็สูบน้อยลง (เฉลี่ย 15 มวน) ดื่มกาแฟน้อยลงเฉลี่ยสองแก้ว   นักวิทยาศาสตร์ทึ่งในผลการทดลอง

แต่ก็ไม่วายครับว่าน่าจะมาจากการออกกำลังกายหรือเปล่า เลยทำการทดลองใหม่ คราวนี้เกณฑ์คนให้มางานชิ้นหนึ่งคือ จดบัญชีค่าใช้จ่าย โดยทดลองไปสี่เดือนครับ ปรากฏว่าเกิดผลประหลาดเหมือนกับการเกณฑ์คนไปออกกำลังกายประจำ คนกลุ่มนี้ทานเหล้า สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟน้อยลงด้วยอัตราเดียวกันอย่างน่าทึ่ง


                   

       Cr: http://gymflow100.com/making-fitness-part-of-your-life/used-making-fitness-fun/


ในนิวยอร์ค มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่เดิมอยู่ในถิ่นเสื่อมโทรมก็ทดลองอะไรง่ายๆ ลองให้นักเรียนทำอะไรเป็นรูทีน เช่น  ชวนกันไม่กินม๊าชเมลโล่ (ขนมหวานชนิดหนึ่ง นุ่มๆ หน่อย) ปรากฎว่าพฤติกรรมเด็กเปลี่ยนไป จนกลายเป็นโรงเรียนที่เป็นตัวอย่าง ของอเมริกา เพราะผลการเรียนของนักเรียนดีมากๆ บางครั้งขนะโรงเรียนดังๆได้ ทั้งๆที่พื้นฐานเด็กอ่อนมาก่อน แถมหลายคนมาจากครอบครัวมีปัญหา พ่อแม่ตกงาน หรือติดยา

การทดลองนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบครับว่า ถ้าคนเราลองทำอะไรเป็นรูทีนง่ายๆ หรือทำอะไรง่ายๆ แต่ทำเป็นประจำ จะเกิด Will Power ขึ้นมา ในงานนั้นๆ แล้วมันจะ “ล้น” ออกไปมีอิทธิพล ส่งผลใหhเกิดแรงใจในทางบวก จนทำให้เกิดความสำเร็จด้านอื่นๆ ตามมา

นี่ครับค้นพบทั้งปรากฏการณ์ และวิธีการ (How to)

มีการทดลองที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อังกฤษ ที่นี่เป็นศูนย์ผ่าตัดหัวเข่า มีคนชราไปใช้บริการจำนวนมากมีครั้งหนึ่งมีการทดลอง หลังผ่าตัด หมอจะให้คู่มือดูแลตนเอง แต่มีกลุ่มหนึ่งจะมีหน้าท้ายสุด เป็นหน้าว่างๆ มีคำสั่งสั้นๆว่า “ให้ผู้ป่วยเขียนว่าสัปดาห์หน้าจะทำอะไรบ้าง” ครับผู้ป่วยกลุ่มนี้เขียนครับ ปรากฏว่าผู้ป่วยกลุ่มที่เขียนนี้มีอัตราการฟื้นตัวเร็วกว่าผู้ป่วยปรกติถึงสามเท่า

ชัดไหมครับ Wil Power มันเกิดจากรูทีนง่ายๆ

Starbuck เห็นคุณค่าของเรื่องนี้ครับ จึงพัฒนาโครงการพัฒนาทักษะชีวิตพนักงาน เพราะ Starbuck ขายกาแฟแพงมาก การบริการจึงสำคัญมากๆ เรียกว่าคุณจะเห็น พนักงาน Starbuck อารมณ์ดี จำชื่อคนได้ ... เจ้าของเห็นความสำคัญเรื่องนี้ ถึงกับมากำกับเอง พัฒนาหลักสูตร สร้างนิสัยความสำเร็จให้พนักงาน โดยจะมีการให้คู่มือพนักงานสังเกต “สัญญาณ (Cue คิว) ” ของลูกค้า ว่ากำลังจะโมโหแล้วนะ ก็จะเห็นสัญญาณล่วงหน้า แล้วจะต้องทำอะไรต่อไป โดยมีการฝึกเรื่องนี้ล่วงหน้า สร้างสถานการณ์จำลอง ฝึกสังเกต ฝึกทำจนกลายเป็นนิสัยอัตโนมัติ แล้วพนักงานยังได้ฝึกสร้างวิธีการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการลอง “เขียน” สิ่งที่พนักงานที่คิดจะปฏิบัติกับลูกค้า ... คล้ายๆกับการทดลองข้างบน ที่ที่สุดการทำอะไรเป็นรูทีนง่ายๆ ของ Starbuck ทำให้เกิด Will Power ในการทำงาน ที่ “ล้น” ออกไปพัฒนาพฤติกรรมด้านบวก ของพนักงานขึ้นมา... พนักงานบางคน ที่ Starbuck รับเข้ามาเคยมีประวัติห่วยแตก ไปทำงานที่ไหนก็ไม่สำเร็จ กลายเป็นว่าพอมาอยู่ที่นี่นิสัยเปลี่ยนไปรับผิดชอบ กลายเป็นพนักงานผู้บริหารสาขาสองสามสาขาไปเลย


                                     

             Cr: http://www.thebank.co.uk/banknote/building-brands-from-the-inside-out/

ต่อมาเจ้าของคือโฮเวิ์ด ชู๊ต เหนื่อยกับงาน เลยก้าวลงไปอยู่เบื้องหลัง แล้วจ้างคนมาเป็น CEO แทน ได้เรื่อง การฝึกดังกล่าวหายไป Starbucks ถูกมองว่าจืดชืด เหมือนพนักงานหน้าหงิกของตนเอง เมื่อเห็นสัญญาตกต่ำ เจ้าของเลยกลับเข้ามากุมบังเหียนแทน แล้ว Starbucks ก็กลับมาดีขึ้นเหมือนเดิม

มาถึงตอนนี้ อยากบอกครับว่าอย่าไปว่า ผู้จัดการเลยครับ ให้ถือเรื่องนี้เป็นบทเรียนในระดับประเทศ  แล้วหันมาพัฒนา Will Power ของพนักงาน ด้วยการทำอะไรเป็นรูทีนง่ายๆ ตัวอย่างมีแล้ว ส่วนสายการแพทย์ การศึกษาก็น่าจะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ ถ้าเราหันมาสร้าง Will Power ให้เด็กและผู้ป่วย ครับ ในมุมของการพัฒนาองค์กร โดยเฉพาะ Appreciative Inquiry สามารถนำบทเรียนนี้ไปต่อยอดได้ เป็นอย่างดี

เรื่องนี้ทำดีๆ อาจ “พลิก” ชีวิตคนจำนวนมาก พลิกหลายเรื่อง พลิกประเทศเราได้เลยครับ

วันนี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ


อ้างอิง: The Power of Habit 


หมายเลขบันทึก: 533486เขียนเมื่อ 21 เมษายน 2013 11:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 เมษายน 2013 11:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

"Wil Power เกิดจากรูทีนง่ายๆ ".  น่าสนใจมากค่ะอาจารย์


-สวัสดีครับ-อำนาจของนิสัย-ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ

ชอบคำนี้เสมอมาค่ะ " will power" ค่ะ

ชอบอ่านจังค่ะ น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ทุกด้านเลยนะคะ เพราะอะไรที่เริ่มจากทำสิ่งง่ายๆ คนจะอยากเริ่มต้นค่ะ


บันทึกดีจังค่ะ เคยอ่านเคยฟังเรื่องเคสstudy เหล่านี้ คงต้องนำไปปรับใช้บ้างค่ะ

อ่านบันทึกนี้ของอาจารย์ทำให้ผมทบทวนนิสัยที่เป็นอำนาจในการควบคุมจิตของตนเองได้มากขึ้ย ขอบคุณมากครับผม

ขออนุญาตแชร์นะครับ.......อยากเป็นผุ้มีอำนาจระดับสูงจัง ได้ความรู้ดี  ๆ แบบนี้จะได้นำไปใช้ในองค์กรได้

มีตอนที่ 5 พลังแห่งเหตุวิกฤติ ไหมคะ

มีการทดลองที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อังกฤษ ที่นี่เป็นศูนย์ผ่าตัดหัวเข่า มีคนชราไปใช้บริการจำนวนมากมีครั้งหนึ่งมีการทดลอง หลังผ่าตัด หมอจะให้คู่มือดูแลตนเอง แต่มีกลุ่มหนึ่งจะมีหน้าท้ายสุด เป็นหน้าว่างๆ มีคำสั่งสั้นๆว่า “ให้ผู้ป่วยเขียนว่าสัปดาห์หน้าจะทำอะไรบ้าง” ครับผู้ป่วยกลุ่มนี้เขียนครับ ปรากฏว่าผู้ป่วยกลุ่มที่เขียนนี้มีอัตราการฟื้นตัวเร็วกว่าผู้ป่วยปรกติถึงสามเท่า..

...

น่าจะจัดทำหนังสือคู่มือฯ ให้มีหน้าว่างๆ ให้ผู้ป่วยเขียนในหนังสือคู่มือว่าแต่ละครั้งที่กลับบ้านจะทำอะไรบ้าง

อาจทำให้ตัวเขาเองเห็นความสำคัญที่จะกลับไปดูแลตัวเองให้ถูกต้อง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท