ผมรู้จัก คุณอลงกรณ์ พลบุตรดี เพราะเป็นลูกศิษย์ที่ธรรมศาสตร์มากว่า 30 ปีแล้ว และได้ทำงานร่วมกันตลอดก็ดีใจที่คุณอลงกรณ์คิดจะปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ให้พรรคมีโอกาสแข่งกับพรรคคุณทักษิณได้และอาจจะชิงการจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยเฉพาะ การปฏิรูปให้คนหลายๆกลุ่มและประชาชนเป็นเจ้าของพรรคมากกว่ากรรมการบริหารพรรคไม่กี่คน เช่น จะเอาระบบการเลือกตั้งแบบPrimary มาใช้ในการค้นหาผู้สมัคร และจะใช้จังหวัดอยุธยาเป็นจังหวัดนำร่อง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
แต่พอจะทำจริงๆ ก็ตามเคย ขัดแย้งเช่นแบบเดิม ในที่สุดก็อาจจะไปสู่การแตกแยก แบบสมัยกลุ่ม 10 มกราคมก็ได้ ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น จึงขอให้ฟังทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พบกันครึ่งทางและ win/win กลุ่มอุดมการณ์ต้องมองความจริงมากขึ้นว่า คู่แข่งมีวิธีการที่แหลมคม จึงต้องปฏิรูปพรรคให้ดีมียุทธศาสตร์ที่ทันเหตุการณ์ตามสภาพความจริง อุดมการณ์ก็ต้องรักษา แต่ต้องปรับให้ทันเหตุการณ์ แต่ยังคงรักษาคุณธรรม จริยธรรมซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดีไว้ กลุ่มปฏิรูปก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ เช่น อย่าไปพูดในสิ่งที่กระทบความรู้สึกของอดีตนายกชวน หลีกภัย ซึ่งท่านก็ได้ส่งผ่านพรรคมาให้คนรุ่นหลังได้ดีในระดับหนึ่ง ต้องให้เกียรติ ปรึกษาหารือ และคารวะท่านเหล่านั้น ผมหวังว่า การขัดแย้งของพรรคประชาธิปัตย์ต้องจบให้เร็ว และปฏิรูปพรรคให้สำเร็จด้วยความสามัคคี ถ้าจบช้า ทะเลาะกันแบบเดิม คุณทักษิณหัวเราะฟันหักเลย
เรื่องคุณการุณ โหสกุล การเมืองพรรคเพื่อไทย เริ่มน่าสนใจหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่าจะหลุดจากคดี เพราะกกต. ลงมติแค่ 3 ต่อ 2 แสดงว่า หลักฐานอาจจะอ่อน แต่เมื่อศาลฎีกาลงมติคุณการุณก็หมดสิทธิ์ 5 ปี เขตดอนเมืองน่าจะพิสูจน์คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะมีแนวโน้มอย่างไรมีความหมายในระยะยาวคือ การเลือกตั้งครั้งหน้า
บทเรียนของเรื่องนี้คือ คนที่เป็นนักการเมือง ควรมีมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมระดับหนึ่ง คือต้องไม่มีอุปนิสัยแบบอันธพาลหรือนักเลง และยังอยากรับใช้ประเทศอีกถ้าเป็นบุคคลสาธารณะที่เป็นแบบอย่างไม่ดี ในระยะยาว การเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรมมากขึ้น
เรื่องรองนายก ปลอดประสพ สุรัสวดีดูถูกประชาชนซึ่งไปประท้วงว่าเป็นขยะ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มาเป็นเวลานาน เหตุผลคืออะไร
-ประการแรก คุณปลอดประสพควรจะจงรักภักดีกับคุณทักษิณและครอบครัว เพราะช่วยกันมาในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าคดีส่งเสือออกนอก หรือการช่วยเหลือในเรื่องอื่นๆ แต่อีกด้านหนึ่งก็คือ บุคลิกส่วนตัวที่ยังหาตัวเองไม่เจอว่า ตัวเองเป็นใคร เป็นรองนายกคงคิดว่าใหญ่คับฟ้า แต่จริงๆแค่ตำแหน่งผลัดกันชมเป็นช่วงระยะ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องแสดงความใหญ่โตให้ประชาชนได้เห็นบุคลิกที่แท้จริง
ผมแสดงความคิดเห็นบ้างใน Facebook ของผมเพราะเผอิญรู้จักคุณปลอดประสพนาน มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเขียนกลับมาถึงผมว่า คนที่ดูถูกประชาชน มักจะดูถูกคุณค่าของตัวเองเสมอ วันนี้ ขอฝากเป็นแนวคิดไว้ครับ
ส่วนเรื่องยุบโรงเรียน ขอบคุณคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนาที่ถอยทัน เพราะการมองโรงเรียนแค่เงินหรืองบประมาณคือจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ วัดทุกอย่างด้วยงบประมาณว่าน้อยหรือมาก ถ้าตรวจสอบดีๆก็พบว่า ปัญหาการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลชุดปัจจุบันวุ่นวายและสับสนน่าดูเพราะเงินที่ควรจะใช้ก็ไม่ใช้ มองในระยะยาว แต่ไปใช้ในเรื่องประชานิยมอย่างไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้ขอให้ข้าราชการประจำที่สำนักงบประมาณมีบทบาทต่อการดูแลประเทศในระยะยาวด้วย ผมยกตัวอย่าง 2-3 เรื่อง
-เงินอุดหนุนปกครองท้องถิ่น ก็ได้ไม่ครบ กำลังประท้วงกันอยู่
-เงินอุดหนุนน้ำท่วมก็ไม่มีพอที่จะจ่ายตามที่สัญญาไว้
-การลงทุนในการศึกษาระดับอุดมศึกษา ก็เน้นเฉพาะงบจำเป็น ที่เหลือ มหาวิทยาลัยต้องไปหาเอาเอง ซึ่งทำให้คุณภาพการศึกษาแย่ลง
-งบเงินเดือน 15,000 บาทต่อข้าราชการบางแห่งก็ไม่จัดให้โดยเฉพาะคนที่เป็นพนักงาน ข้าราชการ หน่วยงานไปหามาเองจากที่เหลือจากการเบิกจ่ายแต่ละปีแล้วได้นโยบายไปทำ
-งบประมาณ เรื่อง สาธารณสุขก็ประหยัดอย่างมาก ทำให้หมอขาดขวัญ กำลังใจ
สุดท้าย ขอเตือนคนไทยที่กินข้าวทุกคนว่า ก่อนทาน ต้องระวัง เรื่องข้าวมีเชื้อราเพราะเก็บไว้ในโกดังนานเกินไปมาด้วย จะทำให้สุขภาพมีปัญหา
ขอให้ทุกคน ที่รักชาติไทยติดตามเรื่องข้าว อย่ากระพริบตา เพราะใกล้จะถึงจุดอวสานแล้ว เพราะ
(1) จำนำปีใหม่ ไม่มีเงินแล้วและ ถ้ามีเงิน ก็ไม่มีที่เก็บ
(2) ข้าวที่เหลืออยู่ก็เก่าไปทุกๆวัน ระวังเรื่องสุขภาพ เพราะมีเชื้อราในข้าวมากขึ้น
(3) การโกงอย่างมหาศาล ระหว่างพ่อค้าข้าวบางกลุ่มกับนักการเมือง
สุดท้าย ผมกำลังอยู่ในระหว่าง ฝึกผู้นำรุ่นที่ 9 ของกฟผ.ช่วงสุดท้ายทำไปนานและ
ต่อเนื่อง ได้เห็นว่า การเรียนโดยให้มีการแลกเปลี่ยนโดยเน้นความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดผู้นำ กฟผ.รุ่นนี้ ในอีก 10 ปีอาจจะขึ้นไปเป็นผู้ว่า ต้องไม่กินบุญเก่า
-จะต้องบริหารและทำงานร่วมกัน ปล่อยให้ผู้นำเก่งคนเดียว ไม่รอด ต้องช่วยกันเป็นทีม
-ต้องบริหารชุมชนให้ยอมรับโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นให้ได้
-ต้องบริหารต่างประเทศเช่น ลาว พม่า มาเลเซีย เพราะซื้อไฟจากเขาอยู่
-ติดตามนโยบายพลังงานรัฐบาล และติดตามเข้าใจพฤติกรรมของนักการเมืองว่าต้องการอะไร และ
-บริหารงานภายในให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทำงานเป็นทีม ข้าม Silo รวดเร็ว ซึ่งถ้ารุ่น 9 ทุกคนเข้าใจ หน้าที่ของเขาก็คือ “สุมหัวกันคิด”
“อย่าต่างคนต่างทำ”
ชวน หลีกภัย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อลงกรณ์ พลบุตร
จีระ หงส์ลดารมภ์
www.gotoknow.org/blog/chiraacademy
แฟกซ์ 0-2273-0181
ไม่มีความเห็น