ข่าวร้ายทางการเมืองของ 2 พรรคใหญ่


บทความจากหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม 2556 ติดตามอ่านย้อนหลังได้ที่ลิงก์ข้างนี้ครับ
http://www.naewna.com/columnist/1104

ข่าวร้ายทางการเมืองของ 2 พรรคใหญ่

ผมรู้จัก คุณอลงกรณ์ พลบุตรดี เพราะเป็นลูกศิษย์ที่ธรรมศาสตร์มากว่า 30 ปีแล้ว และได้ทำงานร่วมกันตลอดก็ดีใจที่คุณอลงกรณ์คิดจะปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ให้พรรคมีโอกาสแข่งกับพรรคคุณทักษิณได้และอาจจะชิงการจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยเฉพาะ การปฏิรูปให้คนหลายๆกลุ่มและประชาชนเป็นเจ้าของพรรคมากกว่ากรรมการบริหารพรรคไม่กี่คน เช่น จะเอาระบบการเลือกตั้งแบบPrimary มาใช้ในการค้นหาผู้สมัคร และจะใช้จังหวัดอยุธยาเป็นจังหวัดนำร่อง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ   

แต่พอจะทำจริงๆ ก็ตามเคย ขัดแย้งเช่นแบบเดิม ในที่สุดก็อาจจะไปสู่การแตกแยก แบบสมัยกลุ่ม 10 มกราคมก็ได้ ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น  จึงขอให้ฟังทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พบกันครึ่งทางและ win/win กลุ่มอุดมการณ์ต้องมองความจริงมากขึ้นว่า คู่แข่งมีวิธีการที่แหลมคม จึงต้องปฏิรูปพรรคให้ดีมียุทธศาสตร์ที่ทันเหตุการณ์ตามสภาพความจริง อุดมการณ์ก็ต้องรักษา แต่ต้องปรับให้ทันเหตุการณ์ แต่ยังคงรักษาคุณธรรม จริยธรรมซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดีไว้ กลุ่มปฏิรูปก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ เช่น อย่าไปพูดในสิ่งที่กระทบความรู้สึกของอดีตนายกชวน หลีกภัย ซึ่งท่านก็ได้ส่งผ่านพรรคมาให้คนรุ่นหลังได้ดีในระดับหนึ่ง ต้องให้เกียรติ ปรึกษาหารือ และคารวะท่านเหล่านั้น ผมหวังว่า การขัดแย้งของพรรคประชาธิปัตย์ต้องจบให้เร็ว และปฏิรูปพรรคให้สำเร็จด้วยความสามัคคี ถ้าจบช้า ทะเลาะกันแบบเดิม คุณทักษิณหัวเราะฟันหักเลย

เรื่องคุณการุณ โหสกุล การเมืองพรรคเพื่อไทย เริ่มน่าสนใจหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่าจะหลุดจากคดี เพราะกกต. ลงมติแค่ 3 ต่อ 2 แสดงว่า หลักฐานอาจจะอ่อน แต่เมื่อศาลฎีกาลงมติคุณการุณก็หมดสิทธิ์ 5 ปี เขตดอนเมืองน่าจะพิสูจน์คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะมีแนวโน้มอย่างไรมีความหมายในระยะยาวคือ การเลือกตั้งครั้งหน้า

บทเรียนของเรื่องนี้คือ คนที่เป็นนักการเมือง ควรมีมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมระดับหนึ่ง คือต้องไม่มีอุปนิสัยแบบอันธพาลหรือนักเลง และยังอยากรับใช้ประเทศอีกถ้าเป็นบุคคลสาธารณะที่เป็นแบบอย่างไม่ดี ในระยะยาว การเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรมมากขึ้น

เรื่องรองนายก ปลอดประสพ สุรัสวดีดูถูกประชาชนซึ่งไปประท้วงว่าเป็นขยะ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มาเป็นเวลานาน เหตุผลคืออะไร

-ประการแรก คุณปลอดประสพควรจะจงรักภักดีกับคุณทักษิณและครอบครัว เพราะช่วยกันมาในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าคดีส่งเสือออกนอก หรือการช่วยเหลือในเรื่องอื่นๆ  แต่อีกด้านหนึ่งก็คือ บุคลิกส่วนตัวที่ยังหาตัวเองไม่เจอว่า ตัวเองเป็นใคร เป็นรองนายกคงคิดว่าใหญ่คับฟ้า แต่จริงๆแค่ตำแหน่งผลัดกันชมเป็นช่วงระยะ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องแสดงความใหญ่โตให้ประชาชนได้เห็นบุคลิกที่แท้จริง

ผมแสดงความคิดเห็นบ้างใน Facebook ของผมเพราะเผอิญรู้จักคุณปลอดประสพนาน มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเขียนกลับมาถึงผมว่า คนที่ดูถูกประชาชน มักจะดูถูกคุณค่าของตัวเองเสมอ วันนี้ ขอฝากเป็นแนวคิดไว้ครับ

ส่วนเรื่องยุบโรงเรียน ขอบคุณคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนาที่ถอยทัน เพราะการมองโรงเรียนแค่เงินหรืองบประมาณคือจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ วัดทุกอย่างด้วยงบประมาณว่าน้อยหรือมาก ถ้าตรวจสอบดีๆก็พบว่า ปัญหาการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลชุดปัจจุบันวุ่นวายและสับสนน่าดูเพราะเงินที่ควรจะใช้ก็ไม่ใช้ มองในระยะยาว แต่ไปใช้ในเรื่องประชานิยมอย่างไร้ความรับผิดชอบ  ซึ่งเรื่องนี้ขอให้ข้าราชการประจำที่สำนักงบประมาณมีบทบาทต่อการดูแลประเทศในระยะยาวด้วย ผมยกตัวอย่าง 2-3 เรื่อง

-เงินอุดหนุนปกครองท้องถิ่น ก็ได้ไม่ครบ กำลังประท้วงกันอยู่

-เงินอุดหนุนน้ำท่วมก็ไม่มีพอที่จะจ่ายตามที่สัญญาไว้

-การลงทุนในการศึกษาระดับอุดมศึกษา ก็เน้นเฉพาะงบจำเป็น ที่เหลือ มหาวิทยาลัยต้องไปหาเอาเอง ซึ่งทำให้คุณภาพการศึกษาแย่ลง

-งบเงินเดือน  15,000 บาทต่อข้าราชการบางแห่งก็ไม่จัดให้โดยเฉพาะคนที่เป็นพนักงาน ข้าราชการ หน่วยงานไปหามาเองจากที่เหลือจากการเบิกจ่ายแต่ละปีแล้วได้นโยบายไปทำ

-งบประมาณ เรื่อง  สาธารณสุขก็ประหยัดอย่างมาก ทำให้หมอขาดขวัญ กำลังใจ

สุดท้าย ขอเตือนคนไทยที่กินข้าวทุกคนว่า  ก่อนทาน ต้องระวัง เรื่องข้าวมีเชื้อราเพราะเก็บไว้ในโกดังนานเกินไปมาด้วย จะทำให้สุขภาพมีปัญหา

ขอให้ทุกคน ที่รักชาติไทยติดตามเรื่องข้าว อย่ากระพริบตา เพราะใกล้จะถึงจุดอวสานแล้ว เพราะ

(1)  จำนำปีใหม่ ไม่มีเงินแล้วและ ถ้ามีเงิน ก็ไม่มีที่เก็บ

(2)  ข้าวที่เหลืออยู่ก็เก่าไปทุกๆวัน ระวังเรื่องสุขภาพ เพราะมีเชื้อราในข้าวมากขึ้น

(3)  การโกงอย่างมหาศาล ระหว่างพ่อค้าข้าวบางกลุ่มกับนักการเมือง

สุดท้าย ผมกำลังอยู่ในระหว่าง ฝึกผู้นำรุ่นที่ 9 ของกฟผ.ช่วงสุดท้ายทำไปนานและ

ต่อเนื่อง ได้เห็นว่า การเรียนโดยให้มีการแลกเปลี่ยนโดยเน้นความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดผู้นำ กฟผ.รุ่นนี้ ในอีก 10 ปีอาจจะขึ้นไปเป็นผู้ว่า ต้องไม่กินบุญเก่า

-จะต้องบริหารและทำงานร่วมกัน ปล่อยให้ผู้นำเก่งคนเดียว ไม่รอด ต้องช่วยกันเป็นทีม

-ต้องบริหารชุมชนให้ยอมรับโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นให้ได้

-ต้องบริหารต่างประเทศเช่น ลาว พม่า มาเลเซีย เพราะซื้อไฟจากเขาอยู่

-ติดตามนโยบายพลังงานรัฐบาล และติดตามเข้าใจพฤติกรรมของนักการเมืองว่าต้องการอะไร และ

-บริหารงานภายในให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทำงานเป็นทีม ข้าม Silo รวดเร็ว ซึ่งถ้ารุ่น 9 ทุกคนเข้าใจ หน้าที่ของเขาก็คือ “สุมหัวกันคิด”

“อย่าต่างคนต่างทำ”

 

ชวน หลีกภัย

 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

อลงกรณ์ พลบุตร

จีระ หงส์ลดารมภ์

[email protected]

www.gotoknow.org/blog/chiraacademy

แฟกซ์ 0-2273-0181


หมายเลขบันทึก: 537203เขียนเมื่อ 26 พฤษภาคม 2013 19:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2013 19:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท