พูดถึง "ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเองด้านอาหารและพลังงาน" ที่ผมฝันจะทำและกำลังทำอยู่นั้น ญาติมิตรหลายคนต่างแสดงความห่วงใยว่าผมกำลังทำอะไร? จะได้ผลตอบแทนเมื่อไหร่? และ จะคุ้มค่าหรือไม่? โดยแทบทุกคนมองการลงทุนที่เริ่มเป็นหนี้ตั้งแต่การจัดซื้อที่ดิน 3 ไร่ เป็นเงิน 1.2 ล้านบาท และค่าจ้างในการปรับแต่งที่ดินอีกราว 5 หมื่นบาท การทำรั้วลวดหนามกันวัวควายเข้ามาทำลายต้นไม้ การปลูกสร้างโรงเรือน การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์มาทำงานด้านการประยุกต์ใช้แรงลม และแสงอาทิตย์มาใช้ในโครงการ และอีกหลายรายการที่กำลังจะตามมา ว่ามันมากเกินกว่าที่จะหารายได้จากงานดังกล่่าวมาชำระคืนให้กับเงินที่กู้ยืมมาได้ ยิ่งรู้ว่าผมจะใช้พื้นที่ด้านหลังประมาณ 1 ไร่ปลูกไม้ยืนต้นหลากหลายชนิดเพื่อทำให้เป็นสวนป่า ที่ส่วนกลางประมาณ 1 ไร่ไว้ทำนา ส่วนที่ด้านหน้าไว้ทำบ่อปลา ปลูกสร้างโรงเรือน และทำแปลงพืชผักสวนครัวด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่น่าจะมีทางหารายได้มาแก้ปัญหาหนี้สินดังกล่าวมาได้เลย
หลายคนแนะให้ปลูกยางพารา หรือปาล์มน้ำมัน จะได้ทันเก็บเกี่ยวผลในเวลาไม่กี่ปี ซ้ำบอกว่าไม้ยืนต้นเช่นตะเคียนทอง ตำเสา ไม้แดง ฯลฯ ที่ผมซื้อหากล้าไม้มาปลูกนั้น ไม่น่าจะโตทันให้ผมได้ใช้งาน และอีกหลายคำแนะนำด้วยความห่วงใย รวมทั้งแนะนำให้ทำที่ด้านหน้าติดถนนใหญ่เป็นร้านค้า ทำธุรกิจที่พักอาศัย หรือทำบ้านเช่าเป็นต้น
ผมพูดแนวคิดให้ฟังแต่หลายคนก็ไม่เข้าใจ เพราะส่วนใหญ่เขามองผลกำไรที่จะต้องตอบแทนกลับมาเป็นเงินทองเท่านั้น ผมจึงคิดว่าน่าจะต้องเขียนเพื่อเคลียร์เรื่องนี้แบบจริงๆจังๆเสียที ว่าให้ละเอียดไปเลยว่าจะทำอะไรบ้าง อย่างไร เพื่ออะไร ซึ่งไม่น่าจะอยู่ในบันทึกนี้เพราะเกรงจะยาวเกินไป
ในที่นี้จะขอพูดแบบกว้างๆก่อนว่าผมคิดทำเรื่องนี้เพราะ "ถือเป็นหน้าที่ของคนเป็นครู และเคยสอนครูมาแล้ว" ผมคงหยุดทำหน้าที่ไม่ได้ตราบใดที่ยังมีเรียวแรงเคลื่อนไหวร่างกายและความคิดได้อยู่ ที่จริงงานที่ทำได้และได้ทำมาแล้วมีหลายอย่าง เช่นไปบรรยายให้ความรู้ ความคิดแก่ครูตามโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ แต่ผมสรุปได้ว่าสิ่งที่น่าจะได้ผลดีกว่าคือให้เขามาหาเรา ในที่ของเราที่เราเตรียมอะไรๆที่เป็นสภาพจริง เหมาะสมแก่การเรียนรู้ไว้ให้ได้ดู ได้สัมผัส เรียกว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ในสิ่งที่คิดที่พูดว่ามันทำได้จริงอย่างไร มันน่าสนใจหรือไม่แค่ไหน ควรนำมาปรับเปลี่ยนแนวทางที่ทำๆกันอยู่หรือไม่ อย่างไร ทั้งในเรื่องของการศึกษา การเรียนรู้ และการใช้ชีวิต กลุ่มเป้าหมายของผมคือ ครู นักเรียน และชาวบ้านทั่วๆไป
ในศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เราจะพยายามพิสูจน์ให้ได้มากที่สุด และมากขึ้นไปเรื่อยๆว่าเราพึ่งตนเองด้านอาหาร และพลังงานได้อย่างไร เพื่อชี้นำไปสู่อนาคตในยามที่เราเจอวิกฤตการณ์หนักๆ ส่วนรายละเอียดว่าทำอย่างไร แบบไหน คงค่อยว่ากันในโอกาสหน้าครับ
สำหรับที่มาของเงินทุนเพื่อดำเนินงานในทุกๆเรื่อง จะอาศัยความรู้ความสามารถทุกด้านที่เรามี ทำงานสุจริตและสร้างสรรค์ทุกอย่างที่ทำได้และควรทำเพื่อหาเงินมาอุดหนุนงานนี้ และที่หวังมากและมีผู้สนับสนุนบ้างแล้วอย่างต่อเนื่อง คือการประกาศนำเสนอสินค้าและบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ Facebook กำลังจะนำเสนอสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ให้ทุกท่านได้พิจารณาสนับสนุนด้วยการสั่งซื้ออีกหลายรายการ โดยจะขอไม่รับการบริจากเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า ตามที่มีหลายท่านหยิบยื่นข้อเสนอมาบ้างแล้ว โปรดคอยติดตามข่าวคราวครับ
สำหรับตอนนี้ขอสรุปว่างานที่ทำไปแล้วได้แก่อะไรบ้าง ...
ประมวลภาพความเป็นมาของการดำเนินงาน
1. จัดซื้อที่ดินขนาด 3 ไร่ 1.2 ล้านบาท
2. ขุดสระ ปรับพื้นที่ด้านหน้า 5 หมื่นกว่าบาท
3. จัดซื้อกล้าไม้ 2-3 รอบ ประมาณ 7000 บาท
4. จัดทำรั้วลวดหนามล้อมบริเวณที่จะทำเป็นป่าด้านหลัง ประมาณ 1,5000 บาท
5. ศึกษา ทดลองการเพาะปลูกต้นไม้ พืชผักต่างๆในที่ว่าง หน้าบ้าน หลังบ้าน
6. จัดหาวัสดุอุปกรณ์ และศึกษา ทดลองระบบพลังงานลม และแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีการให้น้ำแก่พืชผัก
พี่บ่าวดูแล้วคืบหน้าไปมากเลย
ขอยินดีกับพี่บ่าวด้วย บนสระน้ำ ปลูกต้นตะไคร้ ใบกระเพรา และผักเลยดีไหมครับ
ขอให้มีความสุขกับการทำงานครับ...
เป็นแนวคิดที่ดีมาก ถึงมากที่สุดจ้ะ คุณมะเดื่อทราบดีถึงการทำงานแบบนี้ ว่าจะต้องฝ่าด่านอะไรบ้าง
เพราะขนาดแนวคิดจัดสร้าง ศุนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ที่คุณมะเดื่อริเริ่มขึ้น มีที่ดินที่หลวงพ่อยก
ให้โดยไม่ต้องซื้อแล้วด้วยนะจ๊ะ....ยังต้องฝ่าฟันนานาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะความคิดเห็นที่แตก
ต่างกันของคนในชุมชน ... ที่มีทั้งทางบวกและทางลบ....
แนวคิดศูนย์การเรียนรู้ ฯ นี้ เป็นงานที่คุณมะเดื่อจะสานต่อหลังจากที่ ศพด.นี้เปิดตัวเรียบร้อยแล้วเช่น
กันจ้ะ ยังไงก็เดินหน้าต่อไปนะจ๊ะ
ผมว่าผลตอบแทนที่ได้แล้วและได้ทันทีคือความสุขใจครับ พื้นที่ภาคใต้ของเรานั้นอุดมสมบูรณ์มาก แต่ที่ผ่านมาเราทำลายกันไปเยอะด้วยความคิดที่จะปลูกพืชผลที่ได้ผลลัพธ์ทันใจ ศูนย์เรียนรู้ฯ ของอาจารย์จะเป็นตัวอย่างของจริงที่ให้ชาวบ้านได้ศึกษาแน่ๆ ครับ
ได้ติดตามความเคลื่อนไหงของอาจารย์มาโดยตลอด ปลาบปลื้มใจที่เห็นความคืบหน้าบนพื้นดินที่เคยว่างเปล่า ปลาบปลื้มใจที่ครูของเราได้ทำอะไรดีๆมากมายเพื่อแผ่นดิน และเชื่อว่าครูทนเหนื่อย บนความภาคภูมิใจ และพยามยามทำดีอย่างที่สุด ครูจะเป็นต้นแบบหรือแนวคิดในการดำเนินชีวิตของศิษย์หลายๆคนค่ะ
ขอขอบคุณทุกความปรารถนาดี จากทุกท่านครับ แม้มีอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะเรื่องทุนทรัพย์ ผมก็จะไม่ถอย ส่วนจะได้ผลสำเร็จแค่ไหนก็จะพอใจเท่าที่มันได้ แต่ที่แน่ๆ มันสำเร็จอยู่ทุกฝีก้าวแล้วครับ เมื่อมองในแง่ของการเรียนรู้ และความพึงพอใจในสิ่งที่ทำ ต้นไม้แต่ละต้นที่งอกงามขึ้นมา เหงื่อแต่ละหยดที่เราหลั่งมาด้วยความสุข สุขภาพที่น่าจะดีขึ้นเพราะเป็นเกลอกับธรรมชาติมากขึ้น ได้เคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายมากขึ้น และการได้ฝึกดูแลจิตใจให้อยู่เป็นปกติได้ในทุกสถานการณ์ ล้วนแต่เป็นคุณค่าที่ได้รับโดยไม่ต้องรอ และตีค่าเป็นเงินตราไม่ได้เลยจริงๆครับ