ความสุขของฉัน


ความสุขของฉัน

             ภารกิจประจำวันของฉันในแต่ละวัน มีทั้งเรื่องดี ไม่ดี คละเคล้ากันไป บางวันก็มีเรื่องดี บางวันก็มีเรื่องไม่ดี สำหรับเรื่องดีเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องการ รวมทั้ง "ฉัน" แต่ถ้าเรื่องไม่ดี ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่ต้องการ แต่ถ้าเรื่องไม่ดีมันเกิดขึ้นกับชีวิตฉัน ฉันกลับมองมันว่า "มันเป็นเรื่องที่เข้ามาท้าทายกับชีวิตฉันอีกแล้ว" ฉันตั้งสติเพื่อรับกับเรื่องไม่ดีนั้นซึ่งอาจรวมถึง "ปัญหา" ที่ฉันต้องแก้ไข ๆ เพื่อให้เรื่องไม่ดีนั้น ๆ มันผ่านพ้นไป...ฉันไม่แปลกใจเลยว่า ผู้ใหญ่รุ่นก่อน ๆ เคยบอกว่า "ชีวิตคนเกิดมาย่อมมีทั้งความสุข + ความทุกข์" เมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็ก ๆ ฉันไม่ค่อยจะคิดเรื่องความทุกข์สักเท่าไหร่ ฉันบอกได้เลยว่า เมื่อตอนเด็ก ๆ ฉันไม่ค่อยคิด เพราะชีวิตของฉัน ๆ ว่า ฉันเกิดมากับครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข เรียกว่า "อย่างมาก" ถึงแม้ว่าครอบครัวของเราจะมีฐานะ "ปานกลาง" แต่การใช้ชีวิตของครอบครัวเรา "พ่อ + แม่" สามารถสร้างความสุขให้กับลูก ๆ คือ ฉัน + น้องสาวของฉัน ได้อย่างลงตัว...เพราะพ่อ + แม่ ไม่ค่อยทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ

             สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ฉันมีภูมิคุ้มกันของชีวิต เรียกว่า "มีความสุขเป็นพื้นฐานเดิม คือ ครอบครัว"...นั่นก็คือ "ความสุขทางใจ" มากกว่า...สุขใด ไหนก็ไม่เท่ากับคำว่า "สุขใจ" ยิ่งครอบครัวเรา พอมี พอกิน ไม่จนและก็ไม่รวย แต่ครอบครัวก็สามารถพยุงให้กับคนในครอบครัวของเรา คือ มีพ่อ + แม่ + ตัวฉัน + น้องสาว สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข เรียกว่า "สุขกาย + สุขใจ" ฉันมาเริ่มรู้จักกับ ความทุกข์ เมื่อตอนที่แม่ได้ตายจากฉันไป...ฉันรักแม่มาก...กว่าฉันจะทำใจได้ รวมเวลา ๒ ปีเลยทีเดียว เพราะในช่วงแรก ๆ ฉันจะน้ำตาไหลทุกครั้งที่ในใจของฉันที่นึกถึงแม่ พอเหตุการณ์ผ่านไป ฉันตั้งสติเพราะฉันยังมีคนที่ต้องดูแล คือ พ่อและลูกชายสองคนของฉัน...ฉันโชคดีที่ฉันได้พ่อบ้านที่ดี มีความรับผิดชอบ บางคนบอกว่า "ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ อีกแน่ะ" เพราะเราสองคนไม่ค่อยได้มีปากเสียงกัน เราจะคุยกันแบบพี่ แบบเพื่อน แบบสามี - ภรรยาที่ดีต่อกัน รู้จักและรู้ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของกันและกัน...เพราะนี่คือ ต้นแบบที่ดีในการเป็นสามี - ภรรยากัน มีบ้างที่จะกระทบกันบ้างแต่ก็ไม่มาก แต่ต่างฝ่ายก็จะฟังกันด้วยเหตุ ด้วยผล จึงทำให้เราไม่เคยลงมือ ลงไม้ ทุบตีกันเลย...นี่กระมัง!!! ที่เป็นต้นเหตุให้ฉันมีความสุข ๆ กับชีวิตในครอบครัว และทำให้ลูกชายสองคนของฉันได้เห็นเป็นตัวอย่าง

             ในทุกวันนี้ พ่อบ้านถึงแม้อยู่ในวัยเกษียณแล้วและไม่ได้ทำงานรับราชการ แต่พ่อบ้านก็รู้จักหน้าที่ของตนเองดีว่าควรช่วยครอบครัวทำอย่างไร?...พ่อบ้านรู้ดีว่า ปัจจุบันเหลือพ่อของฉันอีก ๑ คน เพราะพ่อ - แม่ ของพ่อบ้าน รวมทั้งแม่ของฉันได้มาด่วนจากไปก่อนแล้ว ยังเหลือแต่พ่อของฉันที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยเหลือตัวเองได้ก็ประมาณ 60 % ในยามที่ฉันต้องไปทำงานซึ่งเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพของครอบครัวอีก ๙ ปี สำหรับลูกชายสองคน ต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ คือ พี่ภัคร ต้องเรียนให้จบปริญญาโท ส่วนน้องเพรียงต้องทำนาเพื่อเลี้ยงชีพตนและครอบครัว ทุกคนต่างมีหน้าที่ สำหรับพ่อบ้านก็อยู่ดูแลพ่อของฉันแทนฉัน เพราะพ่อบ้านรู้หน้าที่ดีว่า...ถ้าไม่ดูแลให้ ไหนเลยฉันจะเป็นตาทำงานได้อย่างปกติสุข เพราะต้องมีอาการเป็นห่วงพ่อของตนเอง...นี่คือ "ความดี" ของพ่อบ้านที่รู้จักหน้าที่ที่จะสามารถรับภาระแบ่งเบาแทนฉันและน้องของฉันซึ่งก็ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัวอีกเช่นกัน...พวกเรารอเวลาอีกไม่เท่าไหร่ที่ถึงเวลาหรือจุดหมาย นั่นคือ อายุ ๖๐ ปี กันที่พวกเราจะต้องกลับไป ๆ อยู่ร่วมกัน เพราะที่เราทำกันทุกวันนี้ นี่คือ "หน้าที่" ๆ ของแต่ละบุคคล...

              การที่ทุกคนรู้จักหน้าที่กัน จึงทำให้พวกเรา "มีความสุข" ความสุขจากการได้ใช้ชีวิตในแต่ละวันว่า ตนเองควรทำอย่างไร เรียกว่า "มีหน้าที่ใดก็กระทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์" ก็จะทำให้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ นั้น ลดน้อยลง...สำหรับปัญหาเรื่อง "การทำงาน" เป็นเรื่องธรรมดา ของความคิดในแต่ละบุคคลที่มีความคิดที่อาจแตกต่างกัน เรียกว่า "คิดต่างมุม" ฉันก็สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้คลี่คลายลงได้ บางครั้งก็ต้องใช้ "สติ" มากกว่า "อารมณ์" แบ่งรับ แบ่งสู้ อดทน ๆ ต่อปัญหาต่าง ๆ ใช้เวลาในการคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ลงได้ ก็ทำให้ชีวิตของการทำงานมีความสุขแล้ว...ดีกว่าไปต่อล้อต่อเถียงให้เกิดเรื่องใหญ่โตมากขึ้น...

              ในฐานะที่ฉันเป็นย่า ฉันก็รู้จักหน้าที่ของฉันว่า ฉันต้องให้ความรัก ความอบอุ่นต่อ "เจ้าฟ้าคราม" ให้มาก ๆ เพราะตัวฉันเองเมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ ฉันรู้ว่าฉันอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข ฉันก็ต้องการให้เจ้าฟ้าครามเกิดความอบอุ่นและมีความสุขเช่นเดียวกับฉัน...เพราะฉันรู้ดีว่า ถ้าคนเรามีความรู้สึกดี ๆ ตั้งแต่วัยเด็ก จะทำให้เมื่อโตขึ้น เราคิด เราอ่านสิ่งใดก็จะมองโลกในแง่ดี คิดดีต่อคนอื่น ไม่คิดร้ายต่อคนอื่น สิ่งนี้เองที่สังคมต้องการ เพราะเมื่อคนเราคิดดี คิดบวก จะทำให้สังคมน่าอยู่และไม่วุ่นวาย...

              ทุกสิ่งที่ฉันมีความสุขได้ในทุกวันนี้ ฉันถือว่า "ฉันได้ทำหน้าที่ ไม่ว่า ครอบครัว การทำงาน...ฉันได้ทำดีที่สุดแล้ว" และฉันก็มีความสุข ๆ ที่ได้เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ...ให้กับทุก ๆ คนในครอบครัว ให้กับผู้ร่วมงาน ให้กับสังคม แบ่งปันความรู้ + ประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ทุกวันนี้ "ฉันมีความสุข" ความสุขจากการรู้จัก "แบ่งปัน" และรู้จัก "หน้าที่" ของตนเอง





หมายเลขบันทึก: 540277เขียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2013 11:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2013 11:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

"ฉันได้ทำหน้าที่ ไม่ว่า ครอบครัว การทำงาน...ฉันได้ทำดีที่สุดแล้ว"


ประทับใจใรความสุขพี่ครับ..ขอบคุณครับ

เป็นความสุขที่น่าภูมิใจจ้ะพี่บุษยมาศ

ความสุขของผู้ที่ทำหน้าที่สมควรแก่ธรรม สาธุค่ะ

ด้วยคาระวะและบุญรักษา..เจ้าค่ะ..ยายธี

ฟ้าครามโชคดีที่มีย่าแบบ ผอ.บุษย์ ค่ะ

สักวันครูอิงเอง ก็คงได้รับบทบาทนี้เข่นกันค่ะ

ความสุขที่ได้ทำเพื่อคนในครอบครัว เป็นสุขเหนืออื่นใดนะคะ

ยินดีกับความสุขแบบอบอุ่นแบบนี้ด้วยค่ะ

สัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์อันอบอุ่นแห่งความรักและความสุขที่เป็นแบบอย่างดีๆเช่นนี้ค่ะ...

ดีจังเลยค่ะ

ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระ

ความรักที่ยั่งยืน....นาน

เยี่ยมเลยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท