จูบครั้งสุดท้าย


  เรื่องที่ผมเขียนวันนี้ ถ้าอ่านเพียงหัวเรื่อง หลายๆท่านอาจจะคิดว่าผมกำลังเขียนนิยายรักโรแมนติกส์อะไรทำนองนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่ แต่เรื่องรักนะใช่แน่นอน ท่านที่ติดตามงานเขียนผมบ่อยๆคงจะนึกออกว่า พอถึงเดือนกรกฎาคม ผมต้องเขียนเรื่องแม่อย่างน้อยๆหนึ่งเรื่อง

  เดือนกรกฎาคม เป็นเดือนคล้ายเดือนเกิด แต่ผมไม่เคยจัดงานวันเกิดให้ตัวเองเลย ด้วยเหตุว่าวันเกิดผมคือวันแม่ของผม วินาทีที่ผมคลอดออกมา วินาทีนั้นคือความเจ็บปวดของแม่ผม และมันก็หมายถึงวินาทีชีวิตของแม่ผมด้วย แล้วจะให้ผมมีกะจิตกะใจ ไปตัดเค้ก เป่าเทียนได้อย่างไร

  ยุคสมัยปัจจุบันชีวิตแม่อาจจะเสี่ยงจากการคลอดลูกแล้วเสียชีวิตน้อยมาก ด้วยความทันสมัยของการแพทย์ แต่ขึ้นชื่อว่าการคลอดลูก ผมคิดว่าคนเป็นแม่ก็กลัวกันทุกคน ถึงแม้ความเสี่ยงจะน้อยกว่าเมื่อก่อน

  ย้อนไปเมื่อครึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลืมตาดูโลก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นผมไม่อาจจะรับรู้ถึงความเจ็บปวด ความทรมานที่แม่มีได้ เพราะผมยังไร้เดียงสาอยู่ จวบจนโตขึ้นมาได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ทางด้านสูติศาสตร์ กับได้ดูสารคดีการกำเนิดมนุษย์ถึงรับรู้ได้ว่า กว่าที่คนๆหนึ่งจะลืมตามออกมาดูโลก ต้องใช้เวลาอย่างมากมาย เวลาที่เดินไปก็มีความละเอียดอ่อนของการพัฒนาการ คนเป็นแม่ต้องทนทุกข์ทรมานตั้งแต่การปฏิสนธิใหม่ๆนั้นคืออาการแพ้ท้อง บางคนแพ้รุนแรง บางคนแพ้จนกระทั้งคลอด สิ่งเหล่านี้คือคนที่เป็นแม่ต้องเจอทุกคน อันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการประคับประคองลูกในท้อง ที่ใช้เวลา 9 เดือน อันเป็นห่วงเวลาที่คนเป็นแม่ต้องระมัดระวังในทุกเรื่อง ก็มิใช่อื่นใดนอกจากเกรงว่าลูกจะไม่ปลอดภัยนั้นเอง นี่คือแม่ หรือ “อุมมี่”...

  มีงานวิจัยทางการแพทย์ที่น่าสนใจบอกว่า ความเจ็บของการคลอดลูกในแต่ละครั้งนั้นเท่ากับการเจ็บของการหักกระดูกถึง 27 ท่อน นั้นหมายความว่าความเจ็บ ณ.ขณะนั้นในเวลาแค่เสี้ยววินาทีนั้น ความเจ็บ ณ.ตรงนั้นมันเท่ากันกับกระดูกเราถูกหักถึง 27 ท่อน ท่านลองจิตนาการเอาก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นชั่วแว๊ปเดียว แต่เป็นความเจ็บปวดที่สุดจะบรรยายได้ คนที่ไม่เคยคลอดลูก หรือผู้ชายมิอาจจะรับรู้ได้เช่นกัน แต่แปลกว่ามันกลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีความแค้น ในทางกลับกัน มันได้กลายเป็นความรัก ความห่วงใย ที่คนเป็นแม่มีให้กับผู้ที่ถือกำเนิดมา แม่ลืมความเจ็บปวดที่เท่ากับการถูกหักกระดูก 27 ท่อน อย่างสิ้นเชิง

  ดูซิครับความรักของแม่ที่มีต่อลูกมันช่างแปลกสิ้นดี แค่รู้ว่ายาใจได้คลอดออกมาแล้ว ความเจ็บปวดที่เสมือนกับการถูกหักกระดูก 27 ท่อน มันมลายหายสิ้น คงไม่มียาใดอีกแล้วที่ดีเท่ายาใจของแม่ นั้นคือลูก...แค่นี้ก็คงพอนะครับสำหรับเหตุผลที่วันเกิดของผมคือ “วันแม่”

  จูบครั้งสุดท้ายของผมสำหรับแม่ เป็นการจูบ “อำลา” จริงๆ เป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน...นานมาแล้ว(จนผมไม่อยากจะจำวันเวลาให้เข้ามาทดแทนภาพการจูบนั้นได้)...จากการบอกเล่าของพี่สาวและญาติๆว่า วันนั้นเป็นงานแต่งของหลานคนหนึ่งในหมู่บ้าน แม่ผมก็ไปช่วยงานตามปกติ ในฐานะญาติผู้ใหญ่ลูกหลานก็เข้ามาคุยบ้างแหย่บ้าง ดูสนุกสนาน ได้เวลานมัสการบ่าย(ละหมาดช่วงบ่าย-ดุฮฺริ) แม่ผมก็ขอตัวไปทำภารกิจนั้น

แต่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อเสร็จ แม่ก็สิ้นใจอย่างกระทันหัน ณ.บัดนั้น ด้วยความหวังอันริบหรี่ลูกๆหลานๆก็พาไปโรงพยาบาล เมื่อถึงมือหมอ คุณหมอลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจจึงหยุดเต้น ทุกคนตระหนกตกใจ กิจกรรมอื่นทุกกิจกรรม แม้งานแต่งหลาน ต้องหยุด ทุกคนต้องหันมาจัดการศพแม่(มัยยิตะ-ศพหญิง) แทน

  การแจ้งข่าวไปถึงพี่น้องจากส่วนกลางก็ทำกันอย่างรีบเร่ง เพราะญาติส่วนใหญ่อยู่ภาคกลาง เช่นกรุงเทพฯ ปากลัด พระประแดง นนทบุรี ชลบุรีฯลฯ คนหนึ่งที่ทุกคนต้องคิดก่อนใครคือผม เพราะเป็นลูกคนเดียวที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ช่วงนั้นผมทำธุรกิจอยู่ ผมเองก็น่าจะจัดอยู่ในคนประเภทอยากรวยด้วยเช่นกัน... เมื่อได้รับโทรศัพท์ว่าแม่เสียแล้ว ก็เหมือนกับถูกไฟซ็อต ชาไปทั้งตัวเพราะผมตั้งหลักไม่ทัน แต่ก็ข่มใจได้ว่า ในความเชื่อของมุสลิมนั้น “มนุษย์ทุกคนเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้า และต้องกลับไปสู่พระผู้เป็นเจ้า” ผมคงไม่ต้องเตรียมอะไรมาก โทรหาเพื่อน เอารถเพื่อนเดินทาง จาก กทม.ไปสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป้าหมายคือบ้านแสงวิมาน(เป็นหมู่บ้านที่โยกย้ายมาจากบ้านปากลัด พระประแดง) สมัยนั้นถนนก็ยังไม่ดีแบบทุกวันนี้ การเดินทางยิ่งรีบยิ่งช้า ทำไมจากชุมพร ถึงสุราษฎร์ธานี จนกระทั้งถึงนครศรีธรรมราช มันไกลเหลือเกิน นั้นคือความรู้สึก...แต่ก็ยอมรับว่าเพื่อนขับรถช้าจริงๆ

  ศพของมุสลิมต้องฝังภายใน 24 ชั่วโมง ก็ต้องบอกว่าวันรุ่งขึ้นหากผมกลับไม่ทัน ตามหลักศาสนาต้องฝังภายในเย็นวันนั้น บ่ายแล้ว ล่วงเข้าไป 2 โมง 3 โมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววผมจะถึงเป้าหมาย ประมาณเกือบ 4 โมงเย็นทุกคนคงลงมติกันแล้วว่าคงรอผมซึ่งเป็นลูกคนสุดท้อง ไม่ได้แน่ นำไปทำพิธีต่อไป นั้นก็คือการละหมาดศพ และฝัง ซึ่งเมื่อถึงขั้นตอนการฝัง ผมหมดโอกาสที่จะเห็นหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย เพื่ออำลาแน่นอน

  แต่แล้วภาพที่ยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำของผม ที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ก็คือ รถที่ผมนั่งมา วิ่งเข้ามาใกล้กับคนที่รายล้อมอยู่เต็มบ้านและบริเวณด้านนอก นั้นคือบ้านแม่ผมเอง คนหลายร้อยคนต่างนิ่งเงียบ ดั่งว่าไร้ผู้คน ความรู้สึกในใจของหลายๆคนคงมุ่งไปที่ศพแม่ และกับผมเพียงคนเดียวที่กำลังมาถึง ผมไม่ทราบหรอกว่าทุกคนคิดอะไร

  เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านทุกสายตา มุ่งมาที่รถคันนี้ ผมเริ่มได้ยินเสียงร้อง สะอื้น ของหลายๆคน เมื่อเห็นรถจอด กับภาพของผู้ชายคนหนึ่งวิ่งสุดชีวิตขึ้นไปบนบ้าน(ท่านผู้อ่านครับกว่าที่ผมจะเขียนเรื่องต่อจากนี้ได้ ผมใช้เวลานานมาก เพราะน้ำตาที่ไม่ได้มาจากการร้องมันไหล ลงไปบนแว่นตา จนผมต้องเช็ดทั้งตาและแว่นหลายครั้งมาก) ภาพบนบ้านที่ผมเห็นครั้งแรกคือฝาโลงกำลังจะปิด ย้ำอีกครั้ง “ฝาโลงกำลังจะปิด” ด้านเท้าปิดแล้ว เหลือด้านหัว และได้ยินเสียงดังลั่นจากข้างหลังผมว่า “อย่าเพิ่งปิดๆ” ตามด้วยเสียงร้องของเครือญาติลูกๆหลานๆดังระงม

  ผมโผเข้าไปหาโลงศพพร้อมพูดว่าเปิดผ้าให้ด้วย(ศพของมุสลิมนั้นจะต้องห่อด้วยผ้าสามชั้น) ผมก้มหน้าเข้าไปในโลงศพพร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้าของศพแม่...แม่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดมันหอมไม่จืดจาง ไม่มีกลิ่นอะไรในโลกนี้อีกแล้วที่จะหอมเท่ากลิ่นแม่  ความรู้สึกผมเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมไม่อยากจะละจมูกออกจากใบหน้าแม่เลย สมองผมเวลานั้นมันเหมือกับฮาร์ดดิสของคอมพิเตอร์ แค่เวลาไม่กี่นาทีที่ผมพรมจูบลงบนใบหน้าแม่ ข้อมูลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มันถูกเรียกออกมาใช้ ผมกำลังเตลิดเปิดเปิงไปว่า ผมกับแม่กำลังคลอเคลียกัน ด้วยความที่ผมเป็นลูกคนสุดท้อง ผมจึงอยู่กับแม่จนโต(ขึ้นชั้น ป.7 แล้วก็ยังนอนกับแม่) ผมจึงสนิท ผูกพันกับแม่มาก ผมพูดอย่างไม่อายเลยว่า ผมถ้าไม่นอนจับนมแม่ ผมจะนอนไม่หลับ จะผมอธิบายอย่างไรก็ไม่สามารถจะถ่ายทอดสายใยแม่ลูกออกมาเป็นตัวอักษรได้

  ถ้าเป็นละคร ซาวนด์ที่เปิดเคียงคู่ไปกับภาพของผมที่กำลังจูบแม่ก็คือ เสียงร้องไห้ของผู้คนทั้งหลายนั้นเอง ...ท่านเชื่อไหมว่า ณ.เวลานั้นไม่มีเสียงใดอีกแล้ว นอกจากเสียงร้องไห้ ภาพและเสียง มันน่าจะสะกดให้ทุกคนนิ่งอยู่อย่างนั้น ในห่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าขณะที่ผมจูบบนใบหน้าแม่นั้น ผมไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว น้ำตาผมมันตกในหมดแล้ว

  มันเป็นจูบครั้งสุดท้ายจริงๆเป็นการจูบที่แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมาการจูบของผมจะได้รับการตอบสนองจากแม่ ไม่ว่าจะเป็นกอดตอบ ลูบหัว แต่การจูบครั้งนี้ ไม่มีการตอบสนองจากแม่ แต่ผมรับรู้นะว่าแม่อบอุ่นมากจากการจูบของลูก แม่จึงหลับตาสบาย รุห์(วิญญาณ)ของแม่รับรู้ สื่อสารได้ถึงความรัก สายใยลูกแม่ที่มีต่อกัน ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดเมตตาต่อแม่ผมด้วยเถิด นี่คือคำวิงวอนในใจของผม

  ผละจากศพแม่ ผมก็มองแทนคำขอบใจไปยังญาติพี่น้องทุกคน ในขณะที่ผ้ากาฝั่น(ผ้าห่อศพ)ด้านหัวถูกรวบไปผูก ผ้าโลงก็ถูกนำมาปิด ญาติพี่น้องต่างก็โผเข้ามากอดผม เสียงร้องก็ยังคงเป็นซาวนด์ที่ใช้ประกอบตลอดเวลา ตั้งแต่ผมวิ่งลงจากรถจนถึงตรงนี้ใช้เวลาไม่มากนัก แต่มันช่างทรมานใจสุดๆ คนที่เรารัก และรักเราที่สุด ร่างอันปราศจากวิญญาณกำลังจะจากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีก แต่สิ่งที่ยังติดกับผมมาคือความทรงจำ และกลิ่นหอมของแม่ ซึ่งมันเป็นกลิ่นเฉพาะ สำหรับลูก แม้ทุกวันนี้ คราใดที่ผมนึกถึงแม่ กลิ่นนั้นก็จะลอยมาที่ปลายจมูก มันจะเป็นแค่ความรู้สึกหรือว่าสมองผมมันบันทึกกลิ่นนั้นไปแล้ว ไม่ทราบได้

  ผมกำลังตกอยู่ในฐานลูกกำพร้า นั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่ลูกกำพร้าอย่างผมเริ่มคิดก็คือ เราทำผิดกับแม่ไว้มากหรือเปล่านี่ เรายังไม่ทันขออภัย(มาอาฟ)จากแม่เลย แม่ก็จากเราไปแล้ว “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้ามารดา” ท่านศาสดาของอิสลามกล่าวไว้นั้น สมัยเด็กผมยังหยอกเล่นกับแม่ ด้วยการยกเท้าแม่ขึ้นมาดู แม่ก็ขำ นั้นคือภาพความทรงจำ

  แต่มาวันนี้มันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เรื่องขำๆอีกต่อไป แต่มันคือข้อเท็จจริงที่ผมมองเห็นว่าท่านศาสดากล่าวไว้จริงแท้แน่นอน ผมจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อสวรรค์บรมสุขของผมนั้น มันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของแม่ มันต่ำกว่าเท้าแม่เสียอีก ผมทำความดีให้กับแม่ให้ได้เท่าขี้ฝ่าเท้าแม่ ก็ยังไม่ได้ แล้วสวรรค์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแม่จะมาถึงผมได้อย่างไร 

  เรามัวคิดอยากจะรวย ผมเคยฝันในขณะทำธุรกิจว่า หากผมรวยขึ้นมาจะดูแลแม่อย่างดี ขับรถพาแม่ไปเที่ยว แม่อยากกินอะไรผมจะเอามาให้ทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่รวย แต่กลับจน ไปพร้อมๆปีเศรษฐกิจปี 40 นั้นก็หมายความว่า สิ่งที่ผมฝันไว้นั้นไม่เป็นความจริง แปลต่อไปอีกได้ความว่า ผมไม่ค่อยได้เลี้ยงดูแม่เลย

  แต่ผมมีจุดแข็งอยู่อย่างเดียวคือผมไม่ยอมให้แม่รับรู้สภาพผมเด็ดขาด ว่าผมกำลังจะล้มแล้ว ผมไปหาแม่ก็จะเล่าแต่เรื่องดีๆเช่นอีกไม่นานผมก็จะสำเร็จแล้ว แม่ก็จะสบายแล้ว ซึ่งมันตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง

  ผมจึงเสียใจไม่หายว่าเราไม่มีโอกาสที่จะเลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายได้เลย อย่าว่าเรื่องการทดแทนบุญคุณเลย ทั้งชีวิตเราก็ทดแทนไม่ได้ มันไม่ใช่บุญคุณแต่มันคือจิตสำนึกหน้าที่ความรับผิดชอบ

  เราเด็กๆอุจาระ ปัสสาวะ น้ำมูกน้ำลาย มือที่สะอาดของแม่นี่แหละเช็ดมัน เราเด็กๆกับพ่อแม่แก่ๆ มีสภาพไม่ต่างกัน แต่อุจาระ ปัสสาวะ น้ำมูกน้ำลาย ของพ่อแม่ลูกๆบางคนรังเกลียด

  ในขณะที่เราจัดเลี้ยงวันเกิด ซึ่งตรงกับวันที่แม่คลอดเราปางตาย เรากินเลี้ยงกันสนุกสนาน ดื่มกินกันอย่างมากมาย ลองหันกลับไปดูซิแม่เรามีอะไรกินหรือไม่ เราซื้อเสื้อผ้า กระเป๋าแบรด์นแนม สวยๆราคาแพง หันกลับไปดูซิว่าแม่เราใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆหรือไม่

  แม่คนเดี่ยวเลี้ยงลูก 10 คนได้ แต่ลูกทั้ง 10 คนไม่ต้องมาเลี้ยงแม่พร้อมกันหรอก แค่มาคนละวันก็เพียงพอ สิ่งที่อยากจะฝากไว้สำหรับลูกๆทุกคนก็คือ อย่ารอให้รวยแล้วค่อยเลี้ยงแม่ จงเลี้ยงแม่ไม่ว่าเราจะรวยหรือจน เพราะแม่เคยอดเพื่อให้ลูกอิ่มมาแล้ว แม่ไม่เคยต่อรองว่าจะเลี้ยงลูกต่อเมื่อรวย...อย่าบอกว่าเดี่ยวค่อยดูแลแม่ก็ได้ มันจะสายแบบที่ผมเคยเป็นมา...อย่าถามว่าแม่อยากกินอะไร เพราะแม่ไม่ตอบลูกหรอกว่าอยากกินอะไร จงซื้อสิ่งที่แม่ชอบไปให้แม่ ซึ่งลูกทุกคนทราบดี...จงอย่าพูดจาไม่ดีกับแม่ เพราะแม้แต่เราทำผิดคนที่ปลอบเราไม่เคยพูดให้เราช้ำใจก็คือแม่...จงกอดแม่ ก่อนที่แม่จะกอดเราตอบไม่ได้(แม่ตายแล้ว)...อย่ารอจูบแม่แม่ตอนแม่ตาย มันจะเป็นจูบสุดท้ายอย่างที่ผมเคยจูบมา...

  ผมไม่ขออะไรมาก แม้แต่คำชม ผมจะไม่ดีใจในคำชมแม้แต่น้อย แต่หากจะดีใจมาก ถ้าอุทาหรณ์ครั้งนี้จะทำให้ลูกกลับมารักแม่มากกว่าเดิม เกิดจิตสำนึกในความเป็นลูก มีความกตัญญู รู้คุณ... ผมขออภัยทุกท่านที่ผมต้องลงท้ายด้วยคำไทยแท้ ถ้าไม่ใช้คำนี้มันไม่สะใจ “ลูกๆครับสวรรค์ของคุณอยู่ใต้ “ตีน” ของแม่คุณนะ...


หมายเลขบันทึก: 543305เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2013 20:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม 2013 20:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สลามท่านเบ ...

สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา วจนะนี้ เราต่างซาบซึ้งกันดี

แต่เด็กรุ่นใหม่ ที่เรียนรู้ทางศาสนา ดูเหมือนศรัทธาจะหย่อนยาน

ไม่แข็งแกร่งเหมือนรุ่นเรานักเรียนปอเนาะ

ดีใจที่ท่านเบกลับมาเขียน เพราะงานเขียนของท่าน

สื่อออกมาแล้วเข้าใจง่าย

 

สวัสดีค่ะคุณเบดูอิน...อ่านแล้วน้ำตาซึมนะคะ...ซาบซึ้งมากค่ะ...เรื่องราวของแม่ยิ่งใหญ่เสมอนะคะ...อย่ารอจูบแม่ตอนแม่ตาย มันจะเป็นจูบสุดท้ายอย่างที่ผมเคยจูบมา...ขอบคุณมากค่ะ...

...อ่านมาถึงข้อมูลงานวิจัยของแพทย์ว่า ความเจ็บปวดของแม่ตอนคลอดลูกนั้น

เท่ากับการจับหักกระดูก ๒๗ ท่อน!!... รู้สึกอึ้ง

...อ่านมาถึง... รถจอดวิ่งจากรถไปหาแม่ ตาขวาเริ่มมีน้ำตา

...ภาพ"จูบสุดท้าย"....พาให้น้ำตาจากตาขวาไหล... ตาซ้ายเริ่มซึมเอ่อเบ้า

อ่านจบ และอ่านอีกรอบ น้ำตาข้างซ้ายไหล... ไล่เป็นทาง ทั้งสายขวา...ลงสู่หัวใจ

หัวใจ...สมอง จิตวิญาณทุกส่วน เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกเปิดเครื่อง

และเรียกข้อมูลอันเป็นคลื่น...สายใยเดียวกันนี้ จากหน่วยเก็บความจำทุกระดับ

ขึ้นมาจัดเรียง... ดุจมาลัยพวงใหญ่ ที่ถูกร้อยจากจิตใจ เพื่อบูชา "คุณค่าของความเป็นแม่"

ขอบคุณ เรื่องเล่า อันทรงพลังมากมายในเช้านี้

ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะ

 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท