๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นวันคล้ายวันละสังขารปีที่ ๘ ของ ของหลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม อดีตเจ้าอาวาส วัดทิพยรัฐนิมิตร (วัดป่าบ้านจิก) ศิษย์สายหลวงปู่มั่น โดยมีหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก แห่งวัดป่านาคำน้อย อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี ได้โปรดเทศนาในค่ำคืนนี้ หลวงพ่ออินทร์ถวายจะมาเทศน์โปรดญาติโยม ณ วัดป่าบ้านจิกแห่งนี้เป็นประจำทุกปี
ขณะที่หลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม จำพรรษาที่วัดบ้านจิกนี้หลวงปู่มักจะนิมิตเห็นตัวท่านเองนั่งอยู่ในโบสถ์ร้าง ซึ่งหลวงปู่ก็ ไม่ทราบว่าเป็นโบสถ์ไหน หลวงปู่จึงได้แต่คิดว่าทำไมผู้สร้างโบสถ์จึงไม่จัดงานฉลองโบสถ์ แต่ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๑ ร้อยตำรวจโทขุนรัฐกิจบรรหาญและคณะชาวบ้านขออนุญาตจัดงานฉลองและผูกพัทธสีมา หลวงปู่จึงทราบว่าที่แท้จริงโบสถ์ร้างใน นิมิตตลอด ๙ ปีก็คือโบสถ์วัดบ้านจิกที่ท่านจำพรรษาอยู่นั่นเอง พ.ศ ๒๕๐๕ หลวงปู่ได้สร้างศาลากลางน้ำขึ้น เมื่อสร้างจวนเสร็จปรากฏว่าเกิดนิมิตเห็นเป็นชายร่างใหญ่ผิวดำถือปืนเข้ามาจะยิงหลวงปู่ขณะนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ แล้วชายคนนั้นถามหลวงปู่ว่า "ท่านกลัวไหม" หลวงปู่ตอบว่า "ไม่กลัว" เพราะชีวิตเราได้สละแล้วตั้งแต่ออกบวช ชายคนนั้นจึงยิงหลวงปู่ ปรากฏว่ากระสุนปืนเฉียดซี่โครงด้ายซ้ายไป แล้วชายคนนั้นก็ อัตรธานหายไป หลวงปู่นั่งพิจารณาต่อจึงทราบว่าพรุ่งนี้ศาลากลางน้ำที่กำลังก่อสร้างอยู่จะพังทลายลง มีเสียงถามขึ้นในใจว่า"เสียดายไหม" หลวงปู่ตอบว่า "ไม่เสียดาย ไม่เสียใจ เพราะศาลาหลังนี้ไม่ใช่ศาลาเก่าแก่ แต่เป็นศาลาที่เราสร้างขึ้นมาเองเกิดขึ้นมาทีหลังตัวเรา เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ภายภาคหน้าถ้ามีบุญบารมีเพียงพอเราก็จะสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้และจะสร้างให้ดีกว่าเดิม"
รูปถ่ายหลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม
วันรุ่งขึ้นบังเอิญเจ้าคุณพิศาล เจ้าคณะอำเภอหนองบัวลำภูในขณะนั้น ได้เดินทางมาเยี่ยมและเอ่ยปากกล่าวว่าศาลาใหม่จนเสร็จแล้วน่ะ หลวงปู่จึงบอกว่า ในวันนี้ศาลาก็จะพังแล้ว คอยดูน่ะ ปรากฏว่าตอนบ่ายวันนั้นเอง มีเมฆดำขนาดใหญ่ลอยมาเหนือวัดและมีพายุพัดแรงมากจนศาลาลอยตัวขึ้นทั้งหลังแล้วถูกปล่อยตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ทำให้ศาลาพังทลาย หลวงปู่เล่าว่า สาเหตุที่ศาลาลอยขึ้นทั้งหลังนั้นเนื่องจากหลังคาศาลาทำด้วยแผ่นกระเบื้องเรียงซ้อนกันถี่และหนักเมื่อลมพายุพัดมา แผ่นกระเบื้องที่ถูกตรึงติดไว้ดีแล้วจึงไม่ปลิวหลุดเป็นแผ่นๆ แรงลมพายุที่อยู่ใต้หลังคาจึงสามารถดันให้ศาลาทั้งหลังลอยตัวขึ้นไปได้ เสมือนหนึ่งศาลาทั้งหลังถูกอุ้มลอยขึ้นไป เมื่อแรงลมอ่อนลงศาลาจึงถูกปล่อยตกลงมากระแทกพื้นเสียหาย ซึ่งต่อมา หลวงปู่ก็สร้างโบสถ์ใหม่ที่ตำแหน่งเดิมนี้อีก ขณะที่สร้างพระอุโบสถนี้อยู่จวนจะแล้วเสร็จ หลวงปู่ได้นิมิตเห็นอดีตสมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาแล้วตรัสว่า จะขอเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โบราณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และพระพุทธบาทรูปศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลในพระอุโบสถ เมื่อเสด็จเข้าไปในตัวพระอุโบสถเพื่อชมพระพุทธรูป ปรากฏว่าทรงอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง เดินไม่ได้ หลวงปู่จึงอุ้มสมเด็จพระสังฆราชลอยขึ้นไปชมชั้นสองของพระอุโบสถ (ในนิมิตนั้นยังไม่มีบันไดขึ้นไปสู่ชั้นสอง หลวงปู่จึงตื่นจากนิมิต นิมิตนี้หมายความว่า เพราะบุญบารมีของหลวงปู่ที่มีมาแต่ปางก่อน จะเป็นสิ่งสนับสนุนให้สร้างอุโบสถได้สำเร็จ และมีความศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากบุญบารมีของผู้สร้างกลับมากล่าวถึงภายในตัวอุโบสถชั้น ๒ ที่เป็นวิหารการเปรียญซึ่งเป็นที่ฝึกบำเพ็ญเพียรภาวนา เมื่อก้าวพ้นประตูด้นตะวันออกเข้าไปข้างในจะพบว่าข้างหน้ามีพระประธานขนาดใหญ่ สีทอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีลักษณะงดงามมากพระพักตร์มีรอยยิ้มดูอ่อนโยน เมตตา พระเนตรทอดต่ำ เหมือนกับจะก้มลงมองดูพุทธศาสนิกชนที่มากราบนมัสการท่าน
ผู้เขียนถักหมวกถวายหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก นับเป็นความโชคดีของผู้เขียนที่ได้มาอาศัยใบบุญของเมืองอุดรธานีอาศัยอยู่ มีพระเกจิอาจารย์สายวัดป่า ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติอยู่มากมายกระจายอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียง
26 July 2013
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ...
สาธุค่ะ ท่าน พ.แจ่มจำรัส