วันนี้ไม่ได้ไปป่า
จึงใช้เวลาทบทวนความรู้เรื่องเกี่ยวกับโรคผิวหนัง ตามตำราที่กล่างถึง เช่น ฝี และโรคเรื้อน ตามคัมภีร์ไพจิตร์มหาวงศ์
และคัมภีร์วิถีกุฏฐโรค คัมภีร์นี้เคยได้ยินคุณปู่ผ่อง น้องชายของคุณย่ากล่าวถึงบ่อย ท่านมักเอ่ยคำว่าขี้เรื้อนกุดถังกระละมังแตก
เมื่อเป็นเด็กก็ไม่ได้สนใจ วิ่งเข้าวิ่งออกกันสนุกสนานไม่สนว่าผู้ใหญ่เขาจะต้องการความเงียบในการสนทนารักษาโรค
แต่พอหกล้มมาเลือดซิบๆก็จะโดนบทใหญ่ และถูกบังคับให้นั่งดูบาดแผลถลอกที่คุณปู่ผ่องเอาอะไรมาพอกปิดไว้นานนับชั่วโมง
แต่พอผู้ใหญ่เผลอก็ย่องหายไปวิ่งเข้าซอยลึกเลยบ้านคุณย่าซอยโรงเรียนสตรีเนติศึกษา ไปโผล่สถานีรถไฟสามเสน
ที่แสนจะเงียบเหงา และไม่มีใครรู้จัก เพราะหากวิ่งออกไปหาต้นซอยก็จะเจอถนนพระราม 5 ซึ่งมีรถเมล็สาย 5 ผ่านไปมาตลอดเวลา
และที่สำคัญต้องผ่านบ้านเพื่อนๆของคุณย่า ซึ่งเวลานั้นคิดว่าไม่ปลอดภัยเพราะผู้ใหญ่จะส่งข่าวถึงกันในเรื่องความซนของเด็กๆ
เด็กๆเวลาได้ซนก็มักลืมความสกปรก กลุ่มเด็กผู้ชายก็เล่นซนเตะฟุตบอลกันบ้าง วิ่งไล่จับกันบ้าง ร่่างกายจะเปื้อนเลอะเทอะ
แม้อาบน้ำแล้วบางครั้งก็ยังรู้สึกไม่สะอาด นั่งเกาตามแขนขน จนเกิดอักเสบ สมัยนี้บอกว่าติดเชื้อ ๆอะไรก็ไม่รู้ แต่คันๆเกาๆ
ผู้ใหญ่ก็จะบ่นว่า พี่น้องก็จะพากันล้อเล่นว่า "เป็นหิตไปติดใครมา พอถึงศาลาก็มานั่งเกาหิต"
วันนี้ได้ทบทวนภาพเก่าในอดีตเราผ่านควาซุกซนมาได้อย่างไร แล้วอดขำตัวเองไม่ได้
ทั้งทำให้คิดถึงแก๊งค์ซนที่มีพี่ๆเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงทั้งญาติผู้พี่และญาติผู้น้อง
ง่วงแล้วขอไปพักก่อนพรุ่งนี้ต้องลงโรงเรียนเป้าหมาย
แล้วจะกลับมาบันทึกต่อค่ะ
อ่านบันทึกครูต้อยทำให้คิดถึงอดีตเหมือนกันค่ะ
ขอบคุณดร.พจนา
ขอบคุณพี่คุณนุ้ยค่ะ
คิดถึงวัยเด็ก คิดถึงอะไรค่ะ